milkyway 6
milkyway 7
milkyway 8
trending
15 กุมภาพันธ์ 2567
ภาษาไทย

เกาะเทรนด์ “Consumer Crypto” ปี 2024 มีอะไรน่าติดตาม?

"Consumer Crypto" หมายถึงการใช้เทคโนโลยี Blockchain และ Cryptocurrency เพื่อสร้างประสบการณ์ทางการเงินและการใช้ชีวิตที่ตอบสนองต่อความต้องการและความสะดวกของผู้บริโภคทั่วไป เช่น การใช้ NFTs เพื่อเป็นเจ้าของสิทธิ์ทางศิลปะ ซึ่งได้สร้างกระแสครั้งใหญ่ในไม่กี่ที่ผ่านมาและเกิดการใช้งานใหม่ๆ ตามมามากมาย


Article1FEB_1200X800 (2).jpg


และครั้งนี้ SCB 10X ได้นำไฮไลต์จากรายงานของ Messari กับการคาดการณ์โลกคริปโตปี 2024 เกี่ยวกับ “Consumer Crypto” ซึ่งในปีที่ผ่านมามีแอปพลิเคชันคริปโตที่เกิดขึ้นมากมาย และผลิตภัณฑ์ต่างๆ กำลังเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ “NFT” และ “เครือข่ายบล็อกเชนแบบเปิดสาธารณะ” ที่อาจจะเป็นส่วนสำคัญของอนาคตที่มี AI ขับเคลื่อน พร้อมกับบทสรุปที่ว่าคริปโตจะมีกระแสที่ดีขึ้นในปีที่จะถึงนี้ แม้ว่าราคาและความเชื่อมั่นในตอนนี้ยังเป็นไปในทางตรงข้ามก็ตาม นอกจากนี้ยังมีมุมมองอื่นๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้


1. เทรนด์ Ownership Economy จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


  • Ownership Economy เป็นเศรษฐกิจที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของข้อมูลและสินทรัพย์ของตนได้มากยิ่งขึ้น ไม่ถูกแทรกแซงและนำข้อมูลไปใช้หาผลประโยชน์โดยบุคคลที่สาม ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกผลักดันในอุตสาหกรรม Crypto มาโดยตลอดเพื่อสร้างความเท่าเทียม โปร่งใส และเพิ่มประโยชน์ให้กับผู้ใช้มากกว่าที่เคย
  • DeSoc (Decentralized Social Media) และ NFT Trading เป็นส่วนที่น่าติดตามและเกิดการพัฒนาอย่างมาก 
  • Crypto Gaming : ความนิยมในการเล่นเกม Crypto ที่เพิ่มขึ้น คล้ายคลึงกับความนิยมที่เพิ่มขึ้นของเกมฟรี (F2P: Free To Play) เมื่อทศวรรษที่ผ่านมา แต่เกมคริปโตมีจุดเด่นคือระบบการสร้างรายได้และจะเป็นโมเดลธุรกิจที่สำคัญต่อไป

2. แพลตฟอร์ม DeSoc (Decentralized Social Media) 

  • DeSoc มีการก้าวหน้าที่ดีและเห็นความจำเป็นมากขึ้น เนื่องด้วยความต้องการของผู้ใช้ที่ไม่ต้องการถูกแทรกแซงข้อมูล (Censorchip) บน Social Media อีกต่อไป 
  • มีแพลตฟอร์มที่น่าสนใจและมีระบบที่ดีมากมาย นำโดย Friend.tech, Lens และ Farcaster เป็นต้น
  • จุดเด่นคือผู้ที่สร้างคอนเทนต์บน DeSoc จะได้รับส่วนแบ่งจากงานของตนอย่างเป็นธรรม


Screenshot 2567-02-14 at 22.47.49.png



3. NFT Market Models 

  • มีความท้าทายเกิดขึ้นในตลาด NFT ในปีที่ผ่านมา ตลาดขนาดใหญ่อย่าง OpenSea ดิ่งลงอย่างหนักในตลาดหมี ยิ่งไปกว่านั้นมีการแย่งชิงพื้นที่ตลาด NFT Marketplace และได้เปลี่ยนแปลงผู้นำตลาดไปเป็นที่เรียบร้อยโดย “Blur” ซึ่งเป็น NFT Marketplace ที่ใช้เวลาเพียงประมาณ 5 เดือนก็สามารถครองตลาด (Market Share) ได้กว่า 80 เปอร์เซ็นจากตลาดทั้งหมด
  • ถึงแม้จะเป็นช่วงที่ไม่ค่อยดีของ NFT แต่โครงการ NFT ที่ใช้งานได้หลากหลาย มีประโยชน์จริงและเป็นนวัตกรรมก็ยังคงอยู่ต่อไป อย่างเช่น cNFTs (Compressed NFTs) ของ Solana ที่มีจุดเด่นช่วยลดค่าใช้จ่ายในการ Mint หรือจัดเก็บ NFTs

4. “Ordinal Theory” สร้างโอกาสใหม่บนเครือข่าย Bitcoin

  • “Ordinal” เป็นโปรโตคอลที่มาแรงในภาคของ NFT ที่หมายถึงการฝังข้อมูลใน “Satoshi” (sat) หน่วยย่อยที่เล็กสุดใน Bitcoin และด้วยการอัปเกรดใหม่ (Taproot) ทำให้สามารถเปลี่ยน sat เป็น NFT ได้ ดั้งนั้น Ordinal จึงช่วยให้สร้าง NFT บนเครือข่าย Bitcoin ได้ 
  • BRC-20 หมายถึงมาตรฐานสำหรับการสร้างโทเคน Blockchain ของ Bitcoin ก็ได้แนวคิดมาจาก Ordinal จึงสร้างโอกาสใหม่ๆ ได้มากมาย
  • Bitcoin Ordinal เติบโตขึ้นมากกว่า 300 เท่าเมื่อต้นปีนี้ ซึ่งนำไปสู่การคาดการณ์ถึงแนวโน้มที่ดีและการถกเถียงกันต่างๆ ว่า Bitcoin Blockchain อาจจะทำอะไรได้มากขึ้นนอกเหนือจากธุรกรรมการเงินหรือการโอนสินทรัพย์

5. บัญชี Token Bound Accounts (TBA) 

  • อีกการพัฒนาที่สำคัญของ NFT ในปีที่ผ่านมาคือการเริ่มต้นใช้งาน “Token Bound Accounts” บนมาตรฐาน NFT อย่าง “ERC-6551” ซึ่งทำให้ NFT เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลได้ และทำให้ผู้ใช้ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์พร้อมกับโต้ตอบกับแอปพลิเคชัน Dapps ได้เหมือนกับบัญชีทั่วไปโดยที่ไม่ต้องแก้ไขสัญญาอัจฉริยะหรือโครงสร้างพื้นฐาน หรือพูดง่ายๆ คือทำให้ NFT มีคุณสมบัติมากขึ้น 
  • TBA ส่งผลดีกับ NFT Lending ด้วย “Cross-Margining” ซึ่งเป็นการเทรดที่สามารถช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และลดการถูกบังคับขายและลดการเกิดหนี้สูญ (Bad Debt) 
  • กรณีตัวอย่าง “Lens Protocol” เกิดการพัฒนาครั้งสำคัญด้วยการปรับปรุงโครงสร้างด้วย TBA ทำให้กิจกรรมต่างๆ เช่น Mints สามารถเข้ากระเป๋าเงินของโปรไฟล์ได้สะดวกทันที แทนที่จะเข้าทาง Address ของผู้ใช้

6. แนวคิดร่วมกันสร้างสรรค์ (Co-Creation) และประสบการณ์ที่ผู้ใช้สร้างขึ้น (User-Generated Experiences: UGX) 

  • มีความท้าทายทางการเงินในการสร้างโลกดิจิทัลที่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล
  • Meta ได้ใช้เงินมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อสร้าง Metaverse ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนบริษัทเกมก็ทุ่มเงินจำนวนมากไปกับการวิจัยและพัฒนาเพื่อตอบสนองผู้ใช้
  • เป็นเรื่องยากที่จะเห็นว่าชุมชน Crypto จะก้าวข้ามความท้าทายทางการเงินเพื่อแข่งกันสร้างโลกดิจิทัล หรือ “Autonomous World” เทรนด์โลกแห่งเกมบน Web3 ที่น่าจับตามอง 
  • แต่ว่าเกม Autonomous World มีศักยภาพมากพอที่จะทำให้โลกแห่งการพัฒนาเกมหายซบเซา ซึ่งต้องการนักออกแบบเกมที่ดียิ่งกว่าที่เคยและมีความร่วมมือที่ดีจากหลายฝ่าย รวมถึงต้องใช้การเล่าเรื่องหรือสร้างคอนเทนต์จากผู้ใช้ที่เป็นตัวจริงและดีจริง โดยเฉพาะการสร้างคอนเทนต์แบบ “Cocreation” ผ่านแพลตฟอร์ม เช่น Story Protocol, Shibuya, StoryCo และ Storyverse เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ประโยชน์จาก NFT และมีวิธีการชำระเงินที่เอื้อประโยชน์ต่อระบบนิเวศในวงกว้าง ซึ่งเป็นแนวคิดที่น่าจับตามองในการพลิกโฉมการสร้างคอนเทนต์ที่ Messari หยิบยกขึ้นมา

Screenshot 2567-02-14 at 22.50.25.png


ในปี 2024 มีการคาดการณ์ในรายงาน Messari ว่าอาจจะได้เห็นเส้นทางของ Crypto ที่ชัดเจนมากขึ้นหลังจากผ่านปีที่อุตสาหกรรมต้องสั่นคลอนและเกิดความไม่แน่นอนมากมาย เสมือนการคัดกรองเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์ได้จริง แล้วนวัตกรรมล้ำสมัยเหล่านี้จะได้รับความนิยมมากขึ้นอีกหรือไม่ต้องติดตามกันต่อไปในปีนี้

 

Use and Management of Cookies

We use cookies and other similar technologies on our website to enhance your browsing experience. For more information, please visit our Cookies Notice.

Reject
Accept