milkyway 6
milkyway 7
milkyway 8
trending
13 กุมภาพันธ์ 2567
ภาษาไทย

ย้อนดูภาพรวมวิกฤตธนาคารล้มในปี 2023 ส่งผลอย่างไรกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

จากวิกฤตธนาคารล้มละลายทั้ง Silvergate และ Signature สองธนาคารสำคัญสำหรับบริษัท Crypto รวมถึง Silicon Valley Bank ที่มีบริษัทสตาร์ทอัพ Crypto และ VC จำนวนมากเป็นลูกค้าได้ล้มลงตามกันในช่วงเดือนมีนาคม ปี 2023 เป็นที่จับตามองและสร้างความกังวลไปทั่วโลก บทความนี้จะพาไปย้อนเหตุการณ์นี้กันอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้นและส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง


Article3JAN_1200X800.jpeg


ภาพรวมเหตุการณ์ธนาคารล้มละลาย


วิกฤตธนาคารในปี 2023 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการล่มสลายของธนาคาร Silicon Valley, Silvergate Bank, Signature Bank และ First Republic Bank ทำให้เกิดความท้าทายและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องของระบบธนาคารแบบดั้งเดิมกับตลาดสกุลเงินดิจิทัลที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว วิกฤตดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพรวมทางการเงินทั่วโลก และชี้ให้เห็นความจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความมั่นคงที่มีความละเอียดอ่อนมาก

จากในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2023 Greg Becker, CEO ของ SVB ได้ขายหุ้นทิ้งประมาณ 4 ล้านหุ้น ต่อมาในวันที่ 10 มีนาคม FDIC (สถาบันประกันเงินฝากของสหรัฐอเมริกา) ได้ประกาศปิด SVB และได้ก้าวเข้ามาไปจัดการแทนเพื่อปกป้องเงินฝากของลูกค้า หลังจากนั้นในวันที่ 13 มีนาคม FED (ธนาคารกลางของสหรัฐฯ) ก็เข้าไปรับประกันเงินฝากทั้งหมดของลูกค้า SVB แบบเต็มจำนวนพร้อมอัดฉีดสภาพคล่องให้ธนาคารต่างๆ เพื่อรับมือการแห่ถอนเงิน

วิกฤตนี้ได้คลี่คลายอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วันของเดือนมีนาคม โดยต้นตอของวิกฤตเกิดจากความผิดพลาดเฉพาะตนในการจัดการความเสี่ยงและปัจจัยหลายประการรวมกัน เช่น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจซึ่งอยู่ภายใต้ความเครียดอยู่ก่อนแล้ว รวมถึงความผันผวนของตลาดคริปโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธนาคารอย่าง Silvergate และ Signature ซึ่งเป็นสองธนาคารที่เปิดรับตลาดสกุลเงินดิจิทัลมากที่สุด จึงยิ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับสถานการณ์ของพวกเขา


สัญญาณเตือนจากหน่วยงานกำกับดูแล ที่ชี้ให้ธนาคารรับมือกับตลาดสกุลเงินดิจิทัลอย่างรอบคอบ


มีคำเตือนจากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ บริษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง และสำนักงานผู้ควบคุมเงินตราของสหรัฐฯ ที่ได้มีการประเมินร่วมกันในหัวข้อ "ความเสี่ยงด้านสินทรัพย์ดิจิทัลต่อองค์กรธนาคาร" โดยหน่วยงานเหล่านี้ได้แจ้งไปยังธนาคารในสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมด้านสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงระยะเวลาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ธนาคารล้มละลายครั้งใหญ่ในเดือนมีนาคม 2023 

โดยพวกเขาแสดงความเชื่อที่ว่าการจัดการกับสินทรัพย์ Crypto บนเครือข่ายแบบเปิด เป็นสาธารณะและกระจายศูนย์ มีแนวโน้มจะไม่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติด้านการธนาคารที่เป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสม ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าธนาคารที่เกี่ยวข้องมีความจำเป็นต้องใช้แนวทางที่ระมัดระวังและมีกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมเมื่อต้องรับมือกับตลาดสกุลเงินดิจิทัลที่ค่อนข้างใหม่และมีความผันผวนสูง

โดยทั้ง Silvergate และ Signature ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลมากที่สุดได้เผชิญกับความท้าทายนี้ และอ้างอิงได้จากการตรวจการล้มละลายของพวกเขาที่เห็นถึงความตึงเครียดระหว่างนวัตกรรมและความเสถียรของบริการทางธนาคารแบบดั้งเดิมที่สำคัญ เช่น การชำระเงินและการชำระหนี้ ที่ประสบปัญหาการปรับให้เข้ากับความต้องการและลักษณะเฉพาะของตลาดสกุลเงินดิจิทัล
กระตุ้นให้เกิดการปรับตัวระหว่างโมเดลการเงินโลกสินทรัพย์ดิจิทัลกับการเงินแบบดั้งเดิม

วิกฤตธนาคารยักษ์ใหญ่ล้มในปี 2023 ไม่เพียงแต่เผยให้เห็นถึงความผิดพลาดเฉพาะตน แต่ยังทำให้เห็นถึงความท้าทายในวงกว้างที่สถาบันการเงินต้องเผชิญ เมื่อต้องรับมือกับการบูรณาการระบบโมเดลสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ากับโมเดลการธนาคารแบบดั้งเดิม ดังนั้น ความสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างนวัตกรรมและการรักษาเสถียรภาพจึงกลายเป็นประเด็นหลักที่ต้องให้ความสำคัญ รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการทบทวนว่าสถาบันการเงินจะปรับตัวกับภูมิทัศน์ของสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความแตกต่างกันได้อย่างไร


วิกฤตนี้ส่งผลกระทบต่อคริปโตอย่างไร?


Signature, Silvergate และ SVB เป็นธนาคารที่เกี่ยวข้องกับภาคสินทรัพย์ดิจิทัลมากที่สุดและเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี ทั้งหมดได้ล้มภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์และปัญหานี้ส่งผลให้สภาพคล่องของ Bitcoin และ Crypto โดยรวมลดลง ณ ขณะนั้น แต่ในภายหลังราคาก็ได้ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่รัฐบาลก้าวเข้ามาหนุนหลังเพื่อรับประกันเงินฝากทั้งหมดสำหรับผู้ฝากธนาคารเหล่านี้ ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจและจุดประกายความหวังให้กับชุมชนตลาด Crypto ได้เล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้ได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดเหรียญ Stablecoin 

จากความคิดเห็นของ “Nic Carter” หุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง Castle Island Ventures (นักลงทุน VC) ได้แสดงความเห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลต่อการหนุนหลังธนาคารที่ล้มลง ส่งผลให้ธนาคารกลับมาอยู่ในสถานะของการจัดหาสภาพคล่องและเป็นการปรับนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อภาคสกุลเงินดิจิทัลและสินทรัพย์เก็งกำไรอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เขาให้ความเห็นว่าการที่ได้เห็นธนาคารที่เป็นมิตรกับ Crypto ที่ใหญ่ที่สุดเหล่านี้ต้องปิดให้บริการภายในเวลาไม่กี่วันเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง เนื่องจากปัจจุบันมีตัวเลือกสำหรับบริษัท Crypto อยู่น้อยมาก และอุตสาหกรรมจะต้องเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องไปจนกว่าจะมีธนาคารใหม่เข้ามาแทนที่

นอกจากนี้ เหตุการณ์นี้ยังส่งผลต่อความไม่เสถียรของ Stablecoin ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ Crypto ที่นักลงทุนมักใช้เพื่อรักษาราคา โดย Stablecoin จะถูกผูกมูลค่าเอาไว้กับสินทรัพย์ในโลกจริง เช่น สกุลเงิน Fiat ต่างๆ (เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ) แต่ด้วยสถานการณ์การเงินที่ไม่ปกติเช่นดังเหตุการณ์ครั้งใหญ่นี้ก็อาจส่งผลให้ราคาลดต่ำลงกว่ามูลค่าที่ตรึงเอาไว้ได้
ในอีกมุมมองหนึ่งก็พบว่ามีทางออกสำหรับภาคสินทรัพย์ดิจิทัล เมื่อ “Mike Bucella” นักลงทุนและเป็นผู้บริหารในด้าน Crypto มาอย่างยาวนานได้ให้ความเห็นว่าหลายคนในอุตสาหกรรมกำลังหันไปพึ่งธนาคารอื่นๆ เป็นตัวเลือก อย่างเช่นธนาคาร Mercury และ Axos ซึ่งเป็นสองแห่งที่รองรับสตาร์ทอัพ หรือในขณะเดียวกัน “Circle” (บริษัทสตาร์ทอัพด้าน Cryptocurrency และออกเหรียญ USDC) ที่ได้เผยต่อสาธารณะว่าได้เลือกธนาคาร “BNY Mellon” เป็นที่เก็บรักษาสินทรัพย์


ผลกระทบในไทยและแนวทางการรับมือ


สำหรับสถานการณ์ในไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาประกาศว่าผลกระทบจากกรณี SVB ต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยมีจำกัด เนื่องจากไม่มีธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีธุรกรรมโดยตรงกับ SVB และปริมาณธุรกรรมโดยรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยใน Fintech และ Startup ทั่วโลกมีน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของเงินกองทุนของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกลุ่มธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลที่ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ

อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ย้ำว่ามีการกำกับดูแลธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและ Venture Capital อย่างเข้มงวด เช่น กำหนดเพดานการลงทุนและกำกับความเสี่ยงด้านต่างๆ เพื่อป้องกันผลกระทบจากความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มธนาคารพาณิชย์ต่อเงินฝากของประชาชน และมีการหักเงินลงทุนในเหรียญออกจากเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Common equity tier: CET1) ทุกกรณี 

ส่วนทางด้านสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เผยแนวทางการกับกำดูแลผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงในสถานการณ์การเงินโลก เช่น กลไกการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ว่าด้วยพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ) ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบธุรกิจมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง เพียงพอ พร้อมรองรับความเสี่ยง และสามารถให้บริการได้ต่อเนื่อง และมีแนวทางการปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้เท่าทันสถานการณ์ โดย ก.ล.ต. ได้ติดตามพัฒนาการของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้เท่าทันกับความเสี่ยงและสอดคล้องกับแนวทางการกำกับดูแลในต่างประเทศ เป็นต้น


สรุป


วิกฤตธนาคารล้มในปี 2023 เกิดจากความผิดพลาดในการจัดการความเสี่ยงและเกิดผลกระทบในกลุ่มสตาร์ทอัพซึ่งเป็นวงจำกัดและได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐในทันที แต่ก็ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดทุนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม วิกฤตธนาคารล้มในปี 2023 ได้เผยให้เห็นถึงความเปราะบางของภาคการธนาคารเมื่อเผชิญกับความท้าทายที่เกิดจากตลาดสกุลเงินดิจิทัล และการที่ธนาคารที่มีชื่อเสียงล้มตอกย้ำให้เห็นความจำเป็นในการตรวจสอบด้านกฎระเบียบ การบริหารความเสี่ยง และแนวทางการบูรณาการเทคโนโลยีทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมเข้ากับแนวทางปฏิบัติด้านธนาคารที่เป็นที่ยอมรับอย่างรอบคอบ

Source:
- The block pro research
- https://www.cnbc.com/2023/03/12/signature-svb-silvergate-failures-effects-on-crypto-sector.html
- https://www.investopedia.com/what-happened-to-signature-bank-7370710

Use and Management of Cookies

We use cookies and other similar technologies on our website to enhance your browsing experience. For more information, please visit our Cookies Notice.

Accept