ปลดล็อก Crypto แห่งอนาคตต้องเริ่มต้นที่โครงสร้างพื้นฐาน

เก็บตกอีกหนึ่งประเด็นสำคัญจากงาน REDeFiNE TOMORROW 2023 โดยมี Brad Garlinghouse, CEO จาก Ripple ร่วมสนทนาเชิงลึก พร้อมกับคุณใต้ Mukaya Panich, CEO & Chief Venture and Investment Officer จาก SCB 10X ในหัวข้อ “Crypto-Enabled Future Starts With Infrastructure” ซึ่งได้พูดคุยกันถึงจุดมุ่งหมายของ Ripple และความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตของ Crypto รวมถึงความเคลื่อนไหวการเข้าซื้อกิจการบริษัทดูแลสินทรัพย์คริปโตจากสวิตเซอร์แลนด์ครั้งล่าสุดของพวกเขา 

Garlinghouse เริ่มต้นกล่าวถึงพันธกิจของ Ripple ในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Blockchain เพื่อแก้ปัญหาระบบการเงินที่มีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำธุรกรรมทั่วโลก และสิ่งที่น่าสนใจคือลูกค้าประมาณ 95% ของ Ripple อยู่นอกสหรัฐฯ ซึ่งส่งสัญญาณถึงการเติบโตที่สำคัญนอกเหนือจากสหรัฐอเมริกา

จุดมุ่งหมายของ Ripple นอกเหนือจากสถาบันทางการเงินและการชำระเงินข้ามพรมแดน ได้มีการขยายไปมากขึ้นซึ่งรวมถึงด้านสภาพคล่อง การดูแลสินทรัพย์ และการแปลงสินทรัพย์ต่างๆ ให้เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (Tokenization) พร้อมทั้งยังมีความสนใจอย่างมากในสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) 

สิ่งสำคัญที่กำหนดอนาคตคริปโตคือโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง

Garlinghouse มุ่งเน้นความสำคัญของการมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพื่อการใช้งาน Crypto ในอนาคต โดยมีองค์ประกอบหลักทั้งสภาพคล่อง ผู้ดูแลสินทรัพย์และการปฏิบัติตามกฎระเบียบมีความสำคัญในการรวมเข้ากันเพื่อระบบการเงินที่มีอยู่ให้เป็นไปอย่างราบรื่น และเพื่อป้องกันปัญหาพื้นฐานต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น 

ตัวอย่างเช่น Ripple มุ่งเน้นตั้งแต่แรกเริ่ม คือประโยชน์ใช้สอยและสามารถแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้จริง ซึ่ง Garlinghouse ย้ำว่าเพื่อให้อุตสาหกรรมคริปโตเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนในอนาคต คือการทำให้แน่ใจว่าสามารถแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้อย่างแท้จริง

Ripple เข้าซื้อกิจการบริษัทดูแลคริปโตสัญชาติสวิส

Ripple ได้เข้าซื้อกิจการ Metaco บริษัทดูแล Crypto จากสวิตเซอร์แลนด์ การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์นี้คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อไป เนื่องจากมีผู้เล่นรายใหญ่เพิ่มมากขึ้นและมีการคาดการณ์ว่าสินทรัพย์แบบดั้งเดิมมีแนวโน้มถูกทำให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการดูแลสินทรัพย์หรือโซลูชัน Custody ที่แข็งแกร่งจึงมีความจำเป็น ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการเงินหลายแห่งกำลังมองหาโซลูชันนี้ ทั้งนี้ Ripple และ Metaco ต่างก็มีประวัติการทำงานร่วมกันกับสถาบันทางการเงินมาอย่างยาวนาน ทำให้รู้จักและมีฐานลูกค้าหลากหลาย Tier จึงมีข้อได้เปรียบในการแก้ปัญหาและสามารถตรวจสอบได้อย่างมั่นใจว่าจะสามารถให้บริการลูกค้าได้จริง

“RippleNet” โซลูชันการชำระเงินระหว่างประเทศ (Cross-Border Payment Solution) ที่น่าจับตามอง

RippleNet เป็นโซลูชันการชำระเงินข้ามพรมแดน อีกหนึ่งบริการหลักของ Ripple โดยกว่า 50% จากปริมาณธุรกรรมของ RippleNet ดำเนินการผ่านระบบบริการ On-Demand Liquidity (ODL) ซึ่งเป็นบริการชำระเงินข้ามพรมแดนที่ใช้ประโยชน์จากเหรียญ XRP เป็นสะพานให้ผู้ใช้สามารถชำระเงินหรือทำธุรกรรมได้อย่างสะดวก ซึ่งได้การตอบรับที่ดีในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ Garlinghouse ยังชี้ให้เห็นการเติบโตของบริการนี้ที่เกิดขึ้นนอกสหรัฐฯ รวมถึง RippleNet ได้สร้างระบบการชำระเงินที่เชื่อมโยงสถาบันการเงินทั่วโลกรายแรกที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริงและนำไปสู่ความเชื่อมั่นจากผู้ใช้บริการ

แม้ว่าจะมีการฟ้องดำเนินคดีอย่างต่อเนื่องจาก SEC เกี่ยวกับสถานะของ XRP แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของ Ripple โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริการ ODL นอกจากนี้เขตอำนาจศาลอื่นๆ ทั่วโลกได้ให้ความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับสถานะของ XRP ซึ่งทำให้ Ripple สามารถขยายการเข้าถึงทั่วโลกต่อไปได้

ความเห็นเกี่ยวกับ CBDC และ Stablecoin ต่างๆ กับการนำมาใช้ในบริการชำระเงินข้ามพรมแดน

Garlinghouse กล่าวถึง Stablecoin เป็นโทเคนดิจิทัลที่ตรึงอยู่กับสินทรัพย์เพียงสกุลเงินเดียวที่โดยทั่วไปคือสกุลเงิน Fiat ต่างๆ ซึ่งส่งผลดีคือสามารถเสริมและเร่งให้สิ่งที่ Ripple ตั้งเป้าไว้บรรลุเป้าหมายได้ โดยประโยชน์หลักของ XRP ในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนคือทำหน้าที่เป็นสะพานที่มอบประโยชน์ด้านสภาพคล่องและลดความเสี่ยงจากความผันผวนเนื่องจากใช้เวลาทำธุรกรรมอันสั้น

สำหรับด้านสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) Garlinghouse เผยว่า Ripple ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม CBDC ที่เป็นโซลูชันแบบ End-To-End สำหรับธนาคารกลางในการออกสกุลเงินในรูปแบบโทเคน ซึ่งมุ่งเน้นความร่วมมือกับธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก 

โดยแพลตฟอร์ม CBDC ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การออกสกุลเงินเท่านั้น แต่รวมไปถึงการออกโทเคนด้านอสังหาริมทรัพย์และออกโทเคนสินทรัพย์อีกด้วย นอกจากนี้ Garlinghouse ยังคงจุดยืนที่ว่า Stablecoins และ CBDC เป็นส่วนเติมเต็มมากกว่าเป็นคู่แข่งในบริการของ Ripple

และอีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือเขาให้ความเห็นว่าการเพิ่มความชัดเจนด้านกฎระเบียบมีส่วนทำให้การชำระเงินข้ามพรมแดนบน Blockchain และอุตสาหกรรมคริปโต มีความก้าวหน้า เนื่องจากปัจจุบันยังมีความสับสนด้านกฎหมายและความกังวลเกี่ยวกับการนำประโยชน์จากเทคโนโลยีไปใช้ ซึ่งปัจจุบันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้มีศักยภาพ สามารถปรับขยายและมีประสิทธิภาพเหนือกว่าระบบเดิมที่มีอยู่หลายรูปแบบ 

รวมถึงจากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาเขาพบว่าการขาดความชัดเจนด้านกฎหมายคืออุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการเติบโต อย่างไรก็ตามมีหลายประเทศที่กำลังพยายามพัฒนาความชัดเจนด้านกฎหมายมากยิ่งขึ้นซึ่งรวมถึงในประเทศไทย

กรณีการฟ้องดำเนินคดีทางกฎหมายของตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐอเมริกา (SEC) ส่งผลกระทบกับ Ripple อย่างไร?

Garlinghouse ให้ความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินคดีโดย SEC ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2020 และกำลังดำเนินอยู่ เป็นการโจมตีอุตสาหกรรมคริปโตทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่กับ Ripple แต่เขาคาดการณ์อย่างมั่นใจว่าศาลจะตัดสินในไม่ช้า และคาดหวังว่าจะได้เห็นความโปร่งใสอย่างแท้จริง

และเนื่องจากความไม่แน่นอนด้านกฎหมายในสหรัฐอเมริกา การเติบโตของ Ripple จึงเกิดขึ้นนอกสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่นได้ขยายสำนักงานที่ดูไบเพื่อให้เป็นศูนย์กลางที่ตะวันออกกลาง รวมถึงเขาให้เครดิตความชัดเจนด้านกฎหมายในประเทศต่างๆ เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ซึ่งช่วยให้บริษัทต่างๆ ทราบว่าควรปฏิบัติตามกฎอย่างไรหรือต้องใช้ใบอนุญาตใดบ้าง เพื่อให้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกันกับภาครัฐและหน่วยงานที่กำกับดูแล 

คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจและผู้ประกอบการที่กำลังพัฒนาในคริปโต

จากประสบการณ์ที่ผ่านมามากมายในวงการคริปโต Garlinghouse แนะนำว่าให้มีความอดทนและเดิมพันอย่างชาญฉลาด อย่ารีบจนเกินไป คิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจก็จะพบว่ามีโอกาสมากมายรออยู่ เนื่องจากเขาเชื่อว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะไม่หายไป ตัวอย่างเช่นที่ Ripple ให้ความสำคัญกับ “โครงสร้างพื้นฐาน” เป็นอย่างยิ่ง รวมถึงมีความเข้าใจลูกค้าของตนและเข้าใจปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างแท้จริง 

รับชมทั้งหมดได้ที่ Youtube: https://youtu.be/MNcqE9rxySE