TravelTech เทรนด์ใหญ่ที่จะกลับมา เมื่อโควิด-19 หมดไป
หากการระบาดของโควิด-19 ได้หมดไปและโลกกลับสู่สภาวะปกติ หรือมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น สิ่งแรกๆ ที่หลายท่านอยากทำคงหนีไม่พ้นเรื่อง “การท่องเที่ยว” ที่มีความเกี่ยวเนื่องไปถึงเรื่องของธุรกิจการท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดครั้งนี้โดยตรง และอย่างที่เราเห็นกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมากับการใช้บริการออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับด้านการท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจด้านเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยว (Travel Tech) ที่ได้รับประโยชน์และมีบทบาทสำคัญกับด้านการท่องเที่ยวยุคใหม่ หากถึงวันนั้นเทคโนโลยีเหล่านี้จะกลับมาได้รับผลดีอีกครั้งหรือมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ครั้งนี้ SCB 10X ได้นำเสนอเรื่องราวของ Travel Tech ที่เกิดขึ้นอย่างน่าสนใจ ให้ทุกท่านลองมาทำความรู้จักไปพร้อมกัน
TravelTech คืออะไร และมีการนำมาใช้อย่างไร
เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้เรามากขึ้นในหลายด้าน อย่างเช่นการใช้สมาร์ตโฟนสั่งอาหาร จองโต๊ะร้านอาหารสำหรับมื้อค่ำ หรือซื้อของใช้จำเป็น และอื่นๆ อีกมากมาย ที่สามารถทำได้อย่างง่ายดายในไม่กี่ขั้นตอนบนสมาร์ตโฟน ซึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องดังกล่าวยังก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่ตอนนี้เราสามารถจองห้องพัก เที่ยวบิน จองทัวร์เพื่อเที่ยวชมสถานที่หรือกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการวางแผนการเดินทางได้อย่างสะดวกผ่านสมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีได้ปฏิวัติด้านการเดินทาง ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวมีความสะดวกและสนุกมากยิ่งขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหรือ Travel Technology เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมการเดินทาง การท่องเที่ยวและที่เกี่ยวข้องกับงานบริการ โดยเป็นการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการวางแผนการเดินทาง ช่วยให้เหล่าบริษัทท่องเที่ยวสามารถจองการเดินทางหรือจองตั๋วสายการบิน ที่พัก รถเช่า และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการจองด้วยคอมพิวเตอร์ (Computerized Reservation Systems : CRSs) ที่ช่วยให้จัดการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางได้ในระยะเวลาไม่กี่นาที โดยระบบการจองทุกระบบสามารถจัดเก็บและดึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ดังนั้นเหล่าตัวแทนการท่องเที่ยวจึงมีความคล่องตัวในการสื่อสารกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ Travel Tech ยังเข้ามาช่วยเหล่าตัวแทนการท่องเที่ยวในการจอง การชำระเงิน และงาน Back-Office ได้แบบอัตโนมัติ รวมถึงช่วยให้ผู้บริโภคทำการจองออนไลน์ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีตัวแทนด้านการท่องเที่ยวเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย
ตัวอย่างเทรนด์เทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการท่องเที่ยว ได้แก่
- Smartphone เสมือนเป็นคู่หูในการเดินทาง เพราะช่วยให้สามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างสะดวกและที่สำคัญคือสามารถเป็นเสมือนไกด์นำเที่ยวที่สามารถไปด้วยได้ทุกที่
- AI และ Chatbots บริษัทตัวแทนการท่องเที่ยวและโรงแรมออนไลน์หลายรายหันมาใช้ประโยชน์จาก AI มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนำมาใช้ในการจองต่างๆ แบบอัตโนมัติ และการให้บริการลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล หรือ Chatbot ที่สามารถบริการกับลูกค้าได้ตลอดทุกวัน 24 ชม. และยังสามารถให้บริการตอบคำถามที่พบบ่อย (FAQs) หรือคำถามเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ (ซึ่งมีประโยชน์มากในเรื่องนโยบายความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19) ประมวลผลการชำระเงิน และยังดำเนินการสนทนาที่ชาญฉลาดเสมือนมนุษย์ได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมี Machine Learning ที่เป็นอีกเครื่องมือ AI ที่ช่วยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมความสนใจและความชอบของผู้บริโภค เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม สายการบิน สิ่งอำนวยความสะดวก รถเช่า ราคา และอื่นๆ อีกมากมาย
- Internet of Things (IoT) หรือการที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถส่งข้อมูลถึงกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ต โดยในด้านการเดินทางจะช่วยเพิ่มความสะดวกและปรับปรุงประสบการณ์การเดินทาง ตัวอย่างเช่นโรงแรมที่มีการรองรับ IoT จะช่วยให้แขกที่เข้าพักสามารถควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ที่รองรับอินเทอร์เน็ตด้วยสมาร์ตโฟนได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ปิดไฟ ควบคุมอุณหภูมิห้อง และโทรทัศน์
- AR และ VR ในยุคโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถเดินทางได้อย่างเต็มที่ เทคโนโลยีเสมือนจริง VR (Virtual Reality) ช่วยให้เราสามารถไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ได้แบบเสมือนจริง หรือช่วยให้สามารถชมโรงแรมแบบเสมือนจริงก่อนการจอง หรือสามารถเข้าชมร้านอาหารแบบเสมือนจริงก่อนการจองโต๊ะ รวมถึง AR (Augmented Reality) หรือเทคโนโลยีผสมผสานระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและความเสมือนจริงเข้าด้วยกัน ช่วยให้สามารถเข้าชมห้องและดูสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของโรงแรม สามารถจำลองการเข้าไปในเครื่องบินเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระเป๋าสัมภาระที่นำขึ้นเครื่องมีขนาดที่เหมาะสมจะนำขึ้นเครื่องบินหรือไม่ และอื่นๆ อีกมากมาย
เทรนด์ของเทคโนโลยีการท่องเที่ยวหลายประเภทไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งหมด แต่ภายหลังจากเกิดการระบาดโควิด-19 ก็มีหลายกรณีที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในการทำตลาด เพราะการแพร่ระบาดกระตุ้นให้อุตสาหกรรมต่างๆ ต้องคิดเร็วและชาญฉลาดขึ้น ในเรื่องของวิธีการทำให้ธุรกิจของตนอยู่รอดและยังสามารถดูแลลูกค้าให้ปลอดภัยได้ ดังนั้น คาดว่าเทคโนโลยีแห่งอนาคตเหล่านี้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วย TravelTech
หากย้อนกลับไปในช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในภาคเศรษฐกิจสำคัญของโลก โดยมีสัดส่วนคิดเป็น 10.4% ของ GDP ทั่วโลก (9.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จากการรายงานของ WTTC ร่วมกับ Oxford Economics รวมยังมีข้อมูลจากทาง Booking.com พบว่าคนรุ่นใหม่อย่างคน Gen Z ให้ความสำคัญกับเรื่องการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก พวกเขามีความตื่นเต้นและคาดหวังสิ่งที่ดีเกี่ยวกับการเดินทางในอนาคต และยังมีความพร้อมที่จะออกเดินทางคนเดียวอีกด้วย นอกจากนี้ คนกลุ่มนี้ยังจัดอันดับความสำคัญให้กับเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวและการท่องโลกกว้างว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากต้องใช้จ่ายเงิน เพราะมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
โดยพฤติกรรมและปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ซึ่งยังทำให้เกิดการร่วมทุนและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น SCB 10X ที่ได้ประกาศร่วมทุนกับทราเวลโลก้า (Traveloka) ผู้นำด้านการให้บริการแพลตฟอร์มในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มุ่งเน้นให้บริการด้านการท่องเที่ยว บริการไลฟ์สไตล์ด้านอื่นๆ และบริการทางการเงิน โดยร่วมกันจัดตั้งเทร็กซ์ เวนเจอร์ส (TREX Ventures) ที่ถือเป็นบริษัทร่วมทุนแรกของทราเวลโลก้า มุ่งเน้นการให้บริการทางการเงินในรูปแบบดิจิทัลแก่ผู้บริโภค โดยเทร็กซ์ เวนเจอร์ส จะใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่างๆ และความสามารถทางการให้บริการด้านดิจิทัลของทราเวลโลก้า เพื่อเสนอผลิตภัณฑ์ด้านการเงินรูปแบบใหม่แก่ผู้บริโภคในประเทศไทย
นอกจากนี้เทคโนโลยีที่มาแรงและเป็นกระแสที่ดีในตอนนี้รวมถึงมีอนาคตที่ดี อย่าง Blockchain ก็ได้มีการนำมาปรับใช้กับอุตสาหกรรมการเดินทางและท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน
เทคโนโลยีที่มาแรงและมีอนาคตที่ดีอย่าง Blockchain กับการเข้ามาเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมด้านการเดินทางท่องเที่ยว
เทคโนโลยีที่เป็นกระแสแรงในปัจจุบันและมีอนาคตที่ดีอย่าง Blockchain ก็มีการนำมาใช้ด้านการท่องเที่ยว โดย Blockchain ที่เริ่มได้รับความนิยมมาตั้งแต่ในปี 2017 มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2020 เทคโนโลยี Blockchain จะมีความหลากหลายมากไปกว่าเรื่องของสกุลเงินดิจิทัล และจะเข้าไปมีส่วนในด้านอื่นๆ อย่างเรื่องความปลอดภัยสำหรับการเดินทาง ซึ่งโปรโตคอลที่ทำงานบน Blockchain มีจุดเด่นในเรื่องของความปลอดภัยอยู่แล้ว จะช่วยเพิ่มความสามารถในการเดินทางข้ามพรมแดนให้มีความปลอดภัยและราบรื่นยิ่งขึ้น ทั้งมีความจำเป็นมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมี Demand ของผู้โดยสารทางอากาศที่มีมากกว่าสี่พันล้านคนและยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี 2017
นอกจากนี้มีตัวอย่างบริษัทที่นำเทคโนโลยี Blockchain มาช่วยเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการเดินทางในแง่มุมอื่นๆ อย่างเช่นบริษัท Winding Tree ซึ่งเป็น Blockchain-based startup จากสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้เข้ามาท้าทายยักษ์ใหญ่ในบริการด้านการเดินทางอย่างเช่น Priceline และ Expedia ที่มีบทบาทสำคัญในการจองตั๋วเครื่องบินหรือที่พัก โดย Winding Tree กำลังดำเนินการทำงานโดยเข้ามาทำหน้าที่เป็น Middleman ในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงจากค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการต่างๆ และด้วยโทเค็น LÍF ของ Winding Tree เป็นการพยายามเชื่อมโยงเหล่านักเที่ยวกับผู้ให้บริการอย่างสายการบิน โรงแรมและไกด์นำเที่ยวโดยตรง ลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องสำหรับนักเดินทางทั้งหมดและขณะเดียวกันก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ให้บริการด้วย นอกจากนี้ การใช้ Smart Contracts อย่างชาญฉลาดของบริษัท ช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งหมดประหยัดได้มากขึ้น ในขณะที่สถานะไม่แสวงหาผลกำไรของบริษัททำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีพ่อค้าคนกลางเพิ่มค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็นให้กับขั้นตอนการจองอีกด้วย
สรุป
ธุรกิจการท่องเที่ยวมีการปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเพื่อตอบรับพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนี้ โดย Travel Tech เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจด้านการท่องเที่ยวที่มีการปรับตัวที่ดีและยังเป็นเรื่องใกล้ตัว ที่สามารถผสมผสานความต้องการด้านการท่องเที่ยวเข้ากับเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี
ถึงแม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตามปกติ แต่ด้วยความต้องการในการท่องเที่ยวของคนทั่วโลกที่มีสูง แนวโน้มในอนาคตที่หากสถานการณ์ดีขึ้นและสามารถกลับมาเดินทางท่องเที่ยวได้มากขึ้น ธุรกิจด้านการเดินทางและท่องเที่ยวรวมถึง Travel Tech เองก็อาจเป็นธุรกิจที่เป็น Game Changer ที่สามารถเป็นเทรนด์ใหญ่ได้ในอนาคต