milkyway 6
milkyway 7
milkyway 8
VC Knowledge Sharing
11 กันยายน 2568
ภาษาไทย

เปิดประตูสู่พันล้าน สร้างโครงข่ายยั่งยืน รับมือทุกพายุเศรษฐกิจ

สรุปประเด็นสำคัญจากงาน REDeFiNE TOMORROW 2025 หัวข้อ "Onboarding the Next Billion Users: Infrastructure for Cycle-Proof Growth" โดย Griffin Dunaif, CEO & Co-Founder ของ Halliday เจาะลึกเส้นทางของ Halliday จากจุดเริ่มต้นที่ต้องการเชื่อมแอปพลิเคชันกับ Blockchain ผ่านเกม สู่การพัฒนา Halliday Payments เพื่อแก้ปัญหาความซับซ้อนของการชำระเงินใน Web3 โดยมุ่งเป้าที่ผู้ใช้ทั่วไป นอกจากนี้ยังได้พูดคุยถึง Agentic Workflow Protocol ที่ช่วยให้ธุรกิจสร้างโซลูชัน Blockchain ที่ปลอดภัย รวมถึงความสำคัญของกฎระเบียบและการผนวก AI เข้ากับเทคโนโลยี Blockchain เพื่อสร้างประสบการณ์การชำระเงินที่ราบรื่นและแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคตของ Web3


Article4SEP_1200X800.jpg


ภารกิจเชื่อมต่อแอปพลิเคชันสู่การค้าบน Blockchain

Griffin Dunaif ได้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภารกิจของ Halliday ที่มุ่งเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเติบโตที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวงจรตลาดในโลก Web3 เป้าหมายคือการเชื่อมโยงแอปพลิเคชันเข้ากับระบบการค้าบนเชน ผ่านการสร้างสรรค์ซอฟต์แวร์ที่เป็นนามธรรม ซึ่งทำให้การพัฒนาบล็อกเชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น


Halliday Payments เข้ามาแก้ปัญหาสำคัญที่นักพัฒนาต้องเผชิญ คือ ความซับซ้อนในการรับชำระเงินในแอปพลิเคชันบล็อกเชนที่กระจัดกระจายและยุ่งยาก ผู้ใช้มีเงินในกระเป๋าคริปโตบนเชนต่างกัน สกุลเงินต่างกัน หรือแม้แต่คริปโต สกุลเงินท้องถิ่นที่ผูกกับกระดานแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ นักพัฒนาต้องผสานรวมระบบกว่า 10-50 องค์ประกอบเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่สิ้นเปลืองทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล เช่น ลูกค้าอย่าง DeFi Kingdoms ที่อยู่บน Avalanche subnet ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลในการรวม on-ramp, bridges, dexes และเชนต่างๆ ด้วยตัวเองอีกต่อไป


นวัตกรรมทางเทคนิค เอนจินเวิร์กโฟลว์อัจฉริยะเพื่อธุรกรรมแบบไร้รอยต่อ

Halliday ก้าวนำหน้าด้วยการสร้าง โปรโตคอล Smart Contract ที่ผสานรวมเทคโนโลยี Hash Time Locks และ Cryptographic Commitments เข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาด เอนจินเวิร์กโฟลว์อันทรงพลังนี้สามารถปรับใช้ได้กับบล็อกเชนชั้นนำมากมาย เช่น Base, Arbitrum, Optimism, Solana และอื่นๆ ทำให้การทำธุรกรรมข้ามเชนเป็นไปอย่างราบรื่น ไร้ความเชื่อใจ และผู้ใช้ยังคง ดูแลสินทรัพย์ด้วยตนเอง ได้อย่างสมบูรณ์

  • การทำงานของเอนจินเวิร์กโฟลว์: เอนจินเวิร์กโฟลว์ของ Halliday ทำงานคล้ายกับชุดคำสั่ง If-Then (ถ้า...แล้ว...) ที่ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถกำหนดขั้นตอนที่ซับซับซ้อนและหลายขั้นตอนได้อย่างง่ายดาย
  • การผูกมัดด้วยการเข้ารหัสลับ: ผู้ใช้จะผูกมัดกับเวิร์กโฟลว์ผ่านการเข้ารหัสลับ (cryptographically) เพื่อรับประกันว่าการดำเนินการจะเป็นไปตามข้อกำหนดที่แม่นยำทุกประการ และหากเกิดการหมดเวลาระบบก็จะส่งคืนเงินให้ผู้เริ่มต้นเวิร์กโฟลว์โดยอัตโนมัติ
  • นวัตกรรมหลัก: Global Commitments ผ่าน Hashing นวัตกรรมหลักที่ขับเคลื่อนระบบนี้คือการใช้ Hashing ซึ่งช่วยให้เกิด การผูกมัดแบบสากลทั่วทั้งบล็อกเชน เนื่องจากค่าแฮชยังคงเหมือนเดิมไม่ว่าจะอยู่บนบล็อกเชนใดก็ตาม จึงสามารถสร้างการผูกมัดข้อมูลแบบสากลได้อย่างแท้จริง นี่คือหลักการทางคริปโตกราฟีที่สำคัญยิ่งสำหรับการทำงานร่วมกันข้ามเชนอย่างมีประสิทธิภาพ

Agentic Workflow Protocol: ปลดล็อกศักยภาพนักพัฒนาและ AI

Halliday ได้เปิดตัว Agentic Workflow Protocol ซึ่งเป็นการเปิดเทคโนโลยีเบื้องหลังให้แก่นักพัฒนาภายนอก การตัดสินใจครั้งนี้มาจากความเข้าใจว่ากว่า 95% ของเวลาในการพัฒนาของ Halliday ถูกใช้ไปกับการเชื่อมโยงส่วนประกอบและการรวมรูปแบบข้อมูลที่แตกต่างกันในโปรโตคอลต่างๆ

โปรโตคอลเวิร์กโฟลว์นี้มีความสามารถหลัก 3 ประการ:

  • การเชื่อมโยง (Integrate): เชื่อมต่อกับโปรโตคอลที่หลากหลาย
  • การประพันธ์ (Compose): รวมรูปแบบข้อมูลที่แตกต่างกันให้เป็นหนึ่งเดียว
  • การทำให้เป็นอัตโนมัติ (Automate): รับประกันการดำเนินการที่เชื่อถือได้ในส่วนประกอบมากกว่า 100 รายการในขนาดใหญ่

สำหรับ AI Agent โปรโตคอลนี้มาพร้อมคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่สำคัญ ผู้ใช้สามารถกำหนดขอบเขตที่เข้มงวดได้ เช่น วงเงินใช้จ่าย, ข้อจำกัดของสินทรัพย์ และอัตราแลกเปลี่ยนขั้นต่ำ AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพภายในพารามิเตอร์เหล่านี้ได้ แต่หากมีการละเมิดเงื่อนไขที่ตั้งไว้ การดำเนินการบนเชนจะถูกปฏิเสธโดยอัตโนมัติ

แนวทางนี้แตกต่างจากการที่ AI เขียน Smart Contract โดยตรง ซึ่งความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การถูกโจมตีที่ร้ายแรงได้ เอนจินเวิร์กโฟลว์นี้จึงมอบการทำงานในระดับที่สูงขึ้นพร้อมกับการมีระบบป้องกันในตัว ในขณะที่ยังคงความยืดหยุ่นสำหรับตรรกะทางธุรกิจ


เบื้องหลังความสำเร็จและวิสัยทัศน์ของ Halliday

Halliday แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่น่าประทับใจด้วยลูกค้ากว่า 35 ราย รวมถึงยักษ์ใหญ่ในวงการ Web3 การใช้แพลตฟอร์ม Halliday ช่วยให้บริษัท Web2 FinTech ประหยัดเวลาพัฒนากว่า 2 ปี ไม่ต้องเสียเงิน 5-15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้าม 20 บล็อกเชนด้วยตัวเอง Halliday ใช้เวลากว่า 2 ปี และระดมทุนไป 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสร้างระบบที่คุ้มค่าและน่าสนใจนี้

รูปแบบธุรกิจของ Halliday สำหรับบริการชำระเงินคือ B2B โดยมีทั้งค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มและส่วนแบ่งจากยอดขายรวม ส่วนโปรโตคอลเวิร์กโฟลว์คิดค่าบริการแบบจ่ายเท่าที่ใช้คล้ายค่า Gas

วิสัยทัศน์ในอนาคต คือ การทำให้การทำธุรกรรมบล็อกเชนเป็นเรื่องง่ายเพียง "คลิกเดียว" หรือสแกน Face ID ผู้ใช้ Bank of America จะสามารถสแกน, อนุมัติในแอป, รับ Stablecoin และซื้อสินทรัพย์บนเชนได้ทันที โดยไม่ต้องทำ KYC ซ้ำหรือเสียเวลา 20 นาทีในการเริ่มต้นใช้งาน


มุมมองต่อ AI และ Web3: AI คือโครงสร้างพื้นฐานหลัก

คุณ Griffin Dunaif ยังได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ AI และ Web3 โดยแย้งว่าอุตสาหกรรมคริปโตมีการแยก AI ออกมาเป็น Web3 x AI โดยไม่จำเป็น ซึ่งต่างจากซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมที่เพียงแค่รวม AI เข้าไป เขาเชื่อว่า AI ควรถูกมองว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักเช่นเดียวกับการเชื่อมต่อเครือข่ายหรือการจัดเก็บข้อมูลไม่ใช่เป็นหมวดหมู่ที่แยกต่างหากที่ต้องมีบริษัทบล็อกเชน-AI โดยเฉพาะ


สุดท้ายนี้คุณ Griffin ได้มอบข้อคิดสำคัญสำหรับผู้ก่อตั้ง โดยชี้ว่าความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ก่อตั้งในตลาดคริปโตไม่ได้เกิดจากการเสียสมาธิในช่วงตลาดหมีแต่เป็นการสูญเสียการมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าในช่วงตลาดกระทิง ธุรกิจที่ยั่งยืนจะให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าเหนือกว่าการวิ่งตามกระแสหรือเรื่องเล่าที่นิยม โดยธุรกิจที่ดำเนินการอย่างสม่ำเสมอผ่านวงจรการตลาดต่างๆ มักจะอยู่รอดและประสบความสำเร็จ


รับชมทั้งหมดที่ Youtube: https://youtu.be/WEzuOdo-2OM?si=qpQ4R2J-FTR9JUuO

Use and Management of Cookies

We use cookies and other similar technologies on our website to enhance your browsing experience. For more information, please visit our Cookies Notice.

Reject
Accept