อัปเดตเกี่ยวกับการกำกับดูแลและกฎระเบียบต่างๆ ของสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก 2024
สถิติและการเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบสินทรัพย์ดิจิทัล
- ในเดือนกันยายน 2024 มูลค่าตลาดสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 2.24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามข้อมูลจาก World Economic Forum โดยการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลมีมูลค่าประมาณ 91 พันล้านดอลลาร์ทุก 24 ชั่วโมง โดยส่วนใหญ่เป็น Bitcoin หรือ Ethereum
- อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของ Crypto ยังมาพร้อมกับกิจกรรมผิดกฎหมาย ตัวอย่างที่เด่นชัด เช่น การแฮ็กที่ทำให้เกิดการสูญเสียมูลค่าเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 และการฟอกเงินผ่าน Crypto ที่สูงถึง 22.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 แม้จำนวนลดลงจากปีก่อนหน้า แต่ก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเฝ้าระวัง
- เพื่อสร้างความปลอดภัย และมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีแนวทางการกำกับดูแลที่ชัดเจนในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว หลายประเทศกำลังพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยส่วนใหญ่ยึดแนวทางจากคำแนะนำของ “FATF” แต่มีรายละเอียดเฉพาะในแต่ละประเทศที่ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลต้องปฏิบัติตาม
การกำกับดูแลของ ‘FATF’ และกฎ ‘Travel Rule’
- Financial Action Task Force (FATF) แนะนำให้ประเทศต่างๆ ควบคุมผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล (Virtual asset service providers: VASPs) เช่นเดียวกับสถาบันการเงินทั่วไป โดยกำหนดให้ต้องลงทะเบียนหรือขอใบอนุญาตและปฏิบัติตามกฎการป้องกันการฟอกเงิน (AML) เช่น การรู้จักลูกค้า (KYC), การติดตามธุรกรรม และการตรวจสอบการคว่ำบาตร
- หนึ่งในข้อกำหนดสำคัญคือ ‘Travel Rule’ ซึ่งกำหนดให้ VASPs และสถาบันการเงินเก็บและแบ่งปันข้อมูลส่วนตัวของผู้ส่งและผู้รับธุรกรรม โดยใช้เกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับธุรกรรมข้ามพรมแดนที่มูลค่า 1,000 ดอลลาร์/ยูโร
- ปัจจุบัน 65 ประเทศจาก 94 ประเทศได้ผ่านกฎหมาย Travel Rule (ข้อมูลเดือนเมษายน 2024) และอีก 15 ประเทศอยู่ระหว่างดำเนินการ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินในสินทรัพย์ดิจิทัล
ความเคลื่อนไหวกรอบกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศต่างๆ ที่น่าสนใจ
หน่วยงานกับกำดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลหลายประเทศทั่วโลกกำลังส่งเสริมนโยบายกันอย่างแข็งขัน โดยส่วนใหญ่เน้นพัฒนากฎของ Stablecoin และการใช้งานข้ามพรมแดน (Cross-border transactions)
สหรัฐอเมริกา
- หน่วยงานกำกับดูแลตลาดอนุพันธ์ของสหรัฐฯ (CFTC) อาจอนุญาตให้ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหลักประกัน หากได้รับอนุมัติก็จะเป็นก้าวสำคัญระหว่างโลกดิจิทัลและตลาดการเงินแบบดั้งเดิม รวมถึง สหรัฐฯ ยังเดินหน้าควบคุมสกุลเงินดิจิทัลอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องนักลงทุนและรักษาความมั่นคงทางการเงิน
- สหรัฐฯ มีการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลแบบกระจาย โดยมีหน่วยงานหลายแห่ง เช่น SEC, CFTC, FDIC และกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง หลายปีที่ผ่านมาได้มีการเสนอร่างกฎหมายเพื่อกำหนดขอบเขตการกำกับดูแลและสร้างความชัดเจน เช่น กฎหมาย Lummis-Gillibrand และ McHenry เกี่ยวกับ Stablecoin และร่าง FIT 21 ที่วางกรอบตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล แม้ว่ากฎหมายบางส่วนยังไม่บังคับใช้ แต่แนวทางแบบกระจายศูนย์ช่วยให้บางรัฐ เช่น นิวยอร์ก สามารถพัฒนากฎระเบียบได้อย่างรวดเร็ว
แคนาดา
- หน่วยงานกำกับดูแลของแคนาดากำลังให้ความสำคัญกับการปกป้องนักลงทุนในการกำหนดกฎระเบียบสำหรับ Stablecoin ใหม่ โดยมีเป้าหมายในการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยกฎระเบียบใหม่นี้อาจเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสร้างความท้าทายให้กับบริษัท Crypto ขนาดเล็ก ซึ่งอาจส่งผลต่อนวัตกรรมและการแข่งขันในตลาดของแคนาดา
สหภาพยุโรป (EU)
- สหภาพยุโรปได้ออกกฎระเบียบ Markets in Crypto-Assets (MiCA) ในปี 2023 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การเงินดิจิทัล โดยกำหนดกรอบการกำกับดูแลที่ครอบคลุมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใสสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล กฎหมายบังคับใช้ตั้งแต่ มิถุนายน 2024 และมีผลเต็มรูปแบบ ธันวาคม 2024 โดยเน้นปกป้องนักลงทุน ปรับปรุงความสอดคล้องระหว่างประเทศสมาชิก และแทนที่กฎหมายระดับประเทศที่มีอยู่
- นอกจากกฎระเบียบ MiCA แล้ว EU ยังมีกฎระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Digital Operational Resilience Act (DORA) ที่ครอบคลุมความยืดหยุ่นในการดำเนินงานของสถาบันการเงิน รวมถึงการจัดการความเสี่ยงทางไซเบอร์และการหยุดชะงักของระบบ
- มีระบบ DLT Pilot Regime ซึ่งเป็นระบบทดลองที่เปิดโอกาสให้สถาบันการเงินทดลองใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการดำเนินงาน
- หลายประเทศในยุโรป เช่น เอสโตเนีย ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และ เบลเยียม ใช้กฎ Travel Rule และเพิ่มความเข้มงวดในกฎหมาย AML/CFT ด้าน สวิตเซอร์แลนด์ ก็มีแนวทางใหม่จาก FINMA สำหรับ Stablecoin เพื่อลดความเสี่ยง เช่น การฟอกเงิน
- โดยรวมแล้ว EU กำลังสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยให้ความสำคัญกับการคุ้มครองนักลงทุนและความมั่นคงของระบบการเงิน
สหราชอาณาจักร
- สหราชอาณาจักรกำลังพัฒนากฎระเบียบเพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาด ปกป้องนักลงทุน และสนับสนุนนวัตกรรม โดยแยกสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหลักทรัพย์ออกจาก Crypto ที่ไม่มีการค้ำประกันและ Stablecoin และยังเน้นการกำกับดูแล Stablecoin ให้สอดคล้องกับกฎ MiCA ของ EU เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในตลาด
- หน่วยงานหลักคือ Financial Conduct Authority (FCA) และกฎหมายสำคัญคือ The Money Laundering, Terrorist Financing and Transfer of Funds Regulations 2017 รวมถึงมีกฎ Travel Rule ที่บังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้ว
บราซิล
- วางแผนจะเริ่มใช้กฎหมายควบคุม Stablecoin ในปี 2025 เช่น มีการเสนอร่างจากของธนาคารกลางบราซิลที่พิจารณากฎห้ามถอน Stablecoin ที่ผูกกับเงินต่างประเทศไปยังกระเป๋าเงินส่วนตัว (Self-Custody)
แอฟริกาใต้
- แอฟริกาใต้กำลังพัฒนากฎระเบียบสำหรับ Stablecoin โดยศึกษาการใช้งานและผลกระทบทางการเงิน รวมถึงการนำสินทรัพย์จริงเข้าสู่ระบบ Blockchain (Tokenization) คาดว่าจะเผยแพร่เอกสารนโยบายภายในเดือนธันวาคม ขณะเดียวกันได้เริ่มควบคุม Crypto ในฐานะผลิตภัณฑ์การเงินตั้งแต่ปีที่แล้ว และจะรวม Stablecoin ไว้ในกรอบนี้ด้วย
ความเคลื่อนไหวในเอเชีย
ในขณะที่จีนห้ามใช้ Crypto อย่างสมบูรณ์ในปี 2021 แต่ประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งได้ก้าวเข้าสู่วงการนี้ และทิศทางด้านกฎระเบียบในภูมิภาคเปลี่ยนไปมุ่งเน้นที่การคุ้มครองผู้บริโภคและความชัดเจนสำหรับภาคธุรกิจ
ไทย
- สำนักงาน ก.ล.ต. ไทย (Thai SEC) เสนอร่างกฎระเบียบใหม่ ขยายโอกาสให้กองทุนรวม และกองทุนเอกชนสามารถลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ช่วยเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนได้มีตัวเลือกหลากหลาย และตอบรับกับการเติบโตของตลาดและความสนใจที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน โดยการเสนอร่างกฎใหม่นี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีความสนใจและความต้องการในการลงทุนใน Bitcoin และ Ethereum ETF ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ซึ่งได้รับอนุญาตให้ซื้อขายตั้งแต่ต้นปีและเดือนพฤษภาคมที่ผ่านม
สิงคโปร์
- สิงคโปร์เป็นผู้นำด้านกรอบกฎสินทรัพย์ดิจิทัลในปี 2023 โดย Monetary Authority of Singapore (MAS) ประกาศกฎระเบียบใหม่มีผลบังคับใช้กลางปี 2024 เพื่อปกป้องผู้ค้ารายย่อย เช่น การจำกัดการเข้าถึงเครดิตสำหรับการซื้อขาย Crypto, การห้ามใช้แรงจูงใจในการซื้อขาย และห้ามซื้อ Crypto โดยใช้บัตรเครดิตที่ออกในท้องถิ่น
- สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลในเอเชีย โดย MAS เป็นหน่วยงานกำกับดูแลหลัก มีกฎหมายสำคัญ เช่น Payment Services Act 2019 (PS Act) และ Financial Services and Markets Act 2022 ซึ่งกำหนดข้อบังคับสำหรับผู้ให้บริการโทเคนการชำระเงินดิจิทัล (DPT) เช่น การแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล
- MAS ออกกรอบการกำกับดูแลสำหรับ DPT โดยมีข้อบังคับที่เข้มงวด เช่น การห้ามการซื้อขายแบบ Margin หรือข้อเสนออื่นๆ แก่ลูกค้ารายย่อย แพลตฟอร์มต้องเปิดเผยผลประโยชน์ เผยแพร่มาตรการควบคุม และจัดตั้งขั้นตอนแก้ไขข้อพิพาทของลูกค้า
- การดำเนินการของ MAS มาพร้อมกับปัจจัยที่มีอิทธิพลอื่นๆ เช่น อัตราภาษีต่ำ โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่มั่นคง และการยอมรับ Crypto ในหมู่ประชากร ทำให้สิงคโปร์ได้รับความนิยมในฐานะศูนย์กลางของสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับภูมิภาคและระดับโลก
ฮ่องกง
- ฮ่องกงได้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล โดยสำนักงานบริการทางการเงินและคลัง (FSTB) ของรัฐบาลฮ่องกงได้ออกแถลงการณ์นโยบายว่าด้วยการพัฒนาสินทรัพย์เสมือนจริง ในเดือนตุลาคม 2022 โดยกำหนดวิสัยทัศน์และทิศทางนโยบายสำหรับการกำกับดูแลกิจกรรมสินทรัพย์เสมือนจริง/ดิจิทัล ภายใต้หลักการ “กิจกรรมเดียวกัน ความเสี่ยงเดียวกัน กฎระเบียบเดียวกัน” ในเดือนมิถุนายน 2023 รัฐบาลฮ่องกงได้จัดตั้งคณะทำงานระดับสูงเพื่อส่งเสริมการพัฒนา Web3 โดยยึดหลักความสมดุลระหว่างการกำกับดูแลที่เหมาะสมและการส่งเสริมการพัฒนา คณะทำงานจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการพัฒนาสินทรัพย์เสมือนจริง/ดิจิทัล และ Web3 ที่ยั่งยืนและรับผิดชอบในฮ่องกง
- ปัจจุบันฮ่องกงมีวิธีการที่เสรีมากขึ้นโดยเปิดรับบริษัท Crypto และริเริ่มระบอบการออกใบอนุญาต Crypto ของตนเอง รวมถึงวางแผนที่จะสร้างตัวเองให้เป็นศูนย์กลางระดับโลกสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล โดยการใช้กรอบการกำกับดูแลที่ครอบคลุม ซึ่งมีการดำเนินการเพิ่มเติมในปี 2024 เช่น วางแผนที่จะเสนอร่างกฎหมายควบคุม Stablecoin ต่อสภานิติบัญญัติภายในสิ้นปีนี้
ญี่ปุ่น
- ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศที่มีกรอบกฎหมายสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทันสมัยที่สุดของโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Stablecoin ด้วยการขับเคลื่อนจากภาครัฐและนโยบายที่เป็นมิตรกับ Web3 ซึ่งยอมรับ Web3 ว่าเป็นเสาหลักสำคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ที่สำคัญญี่ปุ่นได้ก้าวเข้าสู่การกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเต็มตัว ด้วยบทบาทสำคัญของ ‘Financial Services Agency’ (FSA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของญี่ปุ่น เพื่อการกำหนดนโยบายและบังคับใช้กฎระเบียบ รวมถึงมี Japan Virtual Currency Exchange Association (JVCEA) ซึ่งเป็นองค์กรกำกับดูแลสำหรับอุตฯ Crypto และมี Japan Security Token Offering Association (JSTOA) ที่จัดตั้งโดยกลุ่มบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ที่พยายามทำให้ธุรกิจและผู้ลงทุนมีความชัดเจนมากขึ้นในตลาด ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้มีส่วนร่วมในการสร้างกฎเกณฑ์และนโยบายที่ปรับให้เหมาะกับพื้นที่การกำกับดูแลของตน
- นอกจากนี้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกในโลกที่มี "ระบบความเท่าเทียมทางกฎระเบียบสำหรับการใช้ Stablecoin ข้ามพรมแดน" โดยระบบนี้ทำให้ Stablecoin ที่ออกโดยต่างประเทศ ซึ่งได้รับการกำกับดูแลตามมาตรฐานที่เทียบเท่ากับกฎหมายของญี่ปุ่น สามารถนำมาใช้งานในประเท
เกาหลีใต้
- เกาหลีใต้ เตรียมควบคุม Stablecoin สำหรับการทำธุรกรรมข้ามประเทศ ยกระดับความปลอดภัยให้ผู้ลงทุน โดยป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน เช่น ฟอกเงินและเลี่ยงภาษี ซึ่งมาตรการจะเริ่มบังคับใช้ในปีหน้า และผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัลต้องรายงานธุรกรรมต่อธนาคารกลางเกาหลี (BOK) ทุกเดือน
มาเลเซีย
- กำหนดให้ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล (VASPs) ต้องได้รับใบอนุญาตและปฏิบัติตามกฎ AML และมีการบังคับใช้ Travel Rule
อินเดีย
- กำหนดให้ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล (VASPs) ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้าน AML/CFT
กาตาร์
- ศูนย์การเงินกาตาร์ (QFC) ได้เปิดตัวกฎระเบียบครอบคลุมเพื่อควบคุมและสร้างสินทรัพย์ดิจิทัล โดยไฮไลท์สำคัญคือการรับรองทางกฎหมายสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลและสัญญาอัจฉริยะ การสนับสนุนการ Tokenizaton ของสินทรัพย์ การคุ้มครองนักลงทุนที่เข้มงวด และการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลเพื่อความปลอดภัยและความโปร่งใส กาตาร์ได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนานโยบายนี้ ทำให้กาตาร์กลายเป็นเขตอำนาจศาลที่ก้าวหน้าในด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและดึงดูดธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
- สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สนับสนุนสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดย Crypto ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นเงินตราที่ถูกกฎหมาย (Legal Tender) แต่ยังสามารถถือครองและซื้อขายได้ โดยกรอบการกำกับดูแลของ UAE ช่วยสร้างความชัดเจนและส่งเสริมการเติบโตในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างยั่งยืนในขณะที่รักษามาตรฐานความปลอดภัยและความรับผิดชอบ
ดูไบ
- มีหน่วยงานกำกับดูแลสินทรัพย์เสมือน (VARA) ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2022 มีวัตถุประสงค์ที่จะทำให้ประเทศเป็นผู้นำในด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการกำกับดูแลสินทรัพย์เสมือน โดยมีเป้าหมายในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและความปลอดภัย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาระบบสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างยั่งยืนและชัดเจนสำหรับนักลงทุนและผู้เล่นในตลาด
- ในปี 2024 ศูนย์การเงินนานาชาติของดูไบ (DIFC) ได้ประกาศใช้กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้นักลงทุนได้รับความชัดเจนและสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี
อาบูดาบี
- มี Abu Dhabi Global Market (ADGM) เป็นหนึ่งในหน่วยงานกำกับดูแลแรกในโลกที่กำหนดให้การแลกเปลี่ยนต้องตรวจสอบและขออนุมัติจากหน่วยงานก่อนที่จะเสนอขายโทเค็นสู่สาธารณะ
Source:
https://www3.weforum.org/docs/WEF_Digital_Assets_Regulation_2024.pdf
https://sumsub.com/blog/aml-cryptocurrency-regulations-around-the-world/
https://beincrypto.com/brazilian-regulators-target-stablecoins/
https://cointelegraph.com/news/qatar-financial-centre-digital-assets-regulation
https://cointelegraph.com/news/south-korea-to-regulate-cross-border-stablecoin-transactions
https://decrypt.co/285578/thai-sec-proposes-new-rules-digital-asset-investment-mutual-private-funds