วิเคราะห์ศักยภาพ AI ในการคาดการณ์แผ่นดินไหว: โอกาส และความท้าทายในอนาคต

Key Takeaways:
- แม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากมาย แต่การคาดการณ์แผ่นดินไหวให้แม่นยำ 100% ยังคงเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เนื่องจากต้องสามารถระบุเวลา สถานที่ และขนาดของแผ่นดินไหวได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ซึ่งยังไม่มีวิธีการหรือเทคโนโลยีใดที่ตอบโจทย์นี้ได้สำเร็จ
- สาเหตุหลักคือธรรมชาติของแผ่นดินไหวที่ไม่มี "สัญญาณเตือนล่วงหน้า" ชัดเจน รวมถึงข้อมูลที่ได้จากเซ็นเซอร์ยังไม่เพียงพอ
- ความก้าวหน้าของ AI เริ่มเปิดประตูใหม่ความหวังใหม่ เช่น ระบบ AI ที่พัฒนนาโดยมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัย Texas at Austin ซึ่งสามารถคาดการณ์แผ่นดินไหวล่วงหน้าในประเทศจีนได้สำเร็จในบางกรณี
- AI ถูกนำมาช่วยเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ในการตัดสินใจเลือกพื้นที่เข้าช่วยเหลือ โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียมเมืองมัณฑะเลย์ และวิเคราะห์ด้วย AI เพื่อประเมินความเสียหายของอาคารได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น
- อนาคตของการพยากรณ์แผ่นดินไหวอาจขึ้นอยู่กับการผสานศักยภาพ AI เข้ากับข้อมูลหลากมิติ และการทำความเข้าใจด้านธรณีฟิสิกส์อย่างลึกซึ้งให้มากขึ้น
ทำไมยังไม่สามารถคาดการณ์แผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำ?
แผ่นดินไหว เป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง และเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่ชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากภัยพิบัติอื่นๆ เช่น พายุหรือสึนามิที่มีสัญญาณบ่งชี้ การคาดการณ์สถาณการณ์แผ่นดินไหวอย่างแม่นยำนั้นจะต้องสามารถระบุเวลา สถานที่ และขนาดแรงสั่นสะเทือนได้ครบถ้วน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีใดทำได้
สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Geological Survey: USGS) ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่สามารถคาดการณ์แผ่นดินไหวได้อย่างน่าเชื่อถือ ทั้งในด้านเวลาที่แน่นอนและสถานที่ที่ชัดเจน สาเหตุหลักของข้อจำกัดนี้มาจากปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้:
- ความซับซ้อนของระบบธรณี: แผ่นดินไหวมีสาเหตุมาจากการสะสมพลังงานและการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนอย่างยิ่งและเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางธรณีวิทยาจำนวนมากที่ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์
- ขาดสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่ชัดเจน: แม้ว่าจะมีอุปกรณ์และเซ็นเซอร์ที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแรงสั่นสะเทือนหรือแรงกดดันใต้ดินได้ แต่ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่สามารถนำมาแปลผลเป็น "การพยากรณ์" แผ่นดินไหวที่แม่นยำและเชื่อถือได้ในระยะเวลาอันใกล้ได้
- ความแตกต่างของลักษณะทางธรณีวิทยาในแต่ละพื้นที่: ปัจจัยและสัญญาณที่อาจสังเกตได้ในพื้นที่หนึ่ง อาจไม่สามารถนำไปใช้คาดการณ์แผ่นดินไหวในอีกพื้นที่หนึ่งได้ เนื่องจากโครงสร้างทางธรณีวิทยาใต้พื้นดินมีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละภูมิภาค
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ส่งผลให้การคาดการณ์แผ่นดินไหวยังคงเป็นความท้าทายสำหรับนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การศึกษาและวิจัยยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการเกิดแผ่นดินไหวและอาจนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติชนิดนี้ในอนาคต
ความหวังใหม่จาก AI: เมื่อ Big Data ประสานกับ AI ในแวดวงแผ่นดินไหววิทยา
แม้ AI ในปัจจุบันยังไม่สามารถคาดการณ์แผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำ แต่เทคโนโลยีนี้กลายเป็น "ความหวังใหม่" ที่อาจนำไปสู่ความเป็นไปได้ในการศึกษาและรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติในอนาคต
- ศักยภาพอันโดดเด่นของ AI ในการเปลี่ยนแปลงวงการแผ่นดินไหววิทยา: การวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อค้นหารูปแบบและความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ โดย AI มีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลแผ่นดินไหวจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากเครือข่ายเซ็นเซอร์ตรวจวัดการสั่นไหวใต้ดิน หรือแม้แต่สัญญาณทางแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อค้นหารูปแบบที่ซับซ้อนเกินกว่าที่มนุษย์จะสังเกตได้ ซึ่งความสามารถนี้อาจช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจกลไกการเกิดแผ่นดินไหวอย่างลึกซึ้งมากขึ้น และเป็นก้าวสำคัญในการลดผลกระทบจากภัยพิบัติในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังต้องปรับตัวเพื่อบูรณาการเทคโนโลยีนี้เข้ากับการทำงานของตนเองเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
- ผลงานจากมหาวิทยาลัย Texas at Austin: ในปี 2024 นักวิจัยจาก University of Texas at Austin ได้พัฒนา AI ที่สามารถคาดการณ์แผ่นดินไหวในประเทศจีนได้ล่วงหน้าถึงหนึ่งสัปดาห์ โดยมีอัตราความแม่นยำในการทดสอบถึง 70% และระบบนี้ได้รับการฝึกฝนจากข้อมูลเหตุการณ์แผ่นดินไหวกว่า 30 ปี และทำการวิเคราะห์ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กใต้ดิน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้รับการนำมาใช้อย่างจริงจังในการคาดการณ์
- การบูรณาการข้อมูลหลากหลายมิติ: นอกจากการวิเคราะห์ข้อมูลคลื่นไหวสะเทือนแบบดั้งเดิมแล้ว AI ยังมีศักยภาพในการประมวลผลข้อมูลจากแหล่งที่หลากหลาย (Multimodal Data) เช่น ข้อมูลจากเซ็นเซอร์สนามแม่เหล็ก ความเค้นของแผ่นเปลือกโลก และแม้แต่คลื่นวิทยุในบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ร่วมกันอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการตรวจจับสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่แม่นยำยิ่งขึ้น
- AI กำลังปฏิวัติวงการแผ่นดินไหววิทยา: AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิธีการศึกษาแผ่นดินไหว โดยช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถค้นพบแผ่นดินไหวขนาดเล็กที่ไม่สามารถตรวจจับได้ด้วยวิธีการแบบเดิม และสร้างแผนที่เครือข่ายรอยเลื่อนใต้ดินที่มีความละเอียดที่ไม่เคยมีมาก่อน นักวิจัยอย่าง Zachary Ross (Caltech Seismological Lab) ได้นำเทคนิค Machine Learning มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลแผ่นดินไหวจำนวนมหาศาล ซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของแผ่นดินไหว และอาจเป็นรากฐานในการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญยังคงมองว่าเครื่องมือ AI เป็นเพียงผู้ช่วยที่ทรงพลัง และไม่สามารถทดแทนบทบาทของนักวิทยาศาสตร์ด้านแผ่นดินไหวได้โดยสมบูรณ์
- AI ไม่ใช่แค่การคาดการณ์แต่สามารถนำมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้: แม้ว่า AI จะยังไม่สามารถคาดการณ์แผ่นดินไหวได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ด้วยศักยภาพที่มีของ AI ก็ได้ถูกนำมาใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ว ตัวอย่างล่าสุดคือเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 แมกนิจูดที่สร้างความเสียหายอย่างหนักในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา หลังเกิดเหตุการณ์นี้ ดาวเทียมและเทคโนโลยี AI ได้ถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ โดยมีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมของเมืองมัณฑะเลย์ และ AI ของ Microsoft ในการวิเคราะห์ภาพเหล่านั้นเพื่อประเมินขอบเขตและความรุนแรงของความเสียหายของอาคาร แม้ว่าในช่วงแรกจะมีปัญหาเรื่องเมฆบดบัง แต่ในที่สุดการผสานเทคโนโลยีนี้ก็สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการระบุพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ซึ่งช่วยให้องค์กรบรรเทาทุกข์สามารถตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น (Credit: AP)
ความท้าทายและอนาคตที่ยังไม่แน่นอน
แม้ว่าความก้าวหน้าล่าสุดในการใช้ AI จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการคาดการณ์แผ่นดินไหวกับบางกรณี แต่โดยส่วนใหญ่การคาดการณ์แผ่นดินไหวยังคงอยู่ในขั้นตอนการทดลองและยังห่างไกลจากการนำไปใช้อย่างแพร่หลายและการยอมรับในระดับสากล โดยมีหลายปัจจัยที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ดังนี้:
- การทดสอบและการประยุกต์ใช้ในวงกว้างยังจำกัด: งานวิจัยส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI ในการคาดการณ์แผ่นดินไหวยังคงอยู่ในห้องปฏิบัติการหรือมีการทดสอบในพื้นที่เฉพาะเจาะจงเท่านั้น ผลลัพธ์ที่ได้ในภูมิภาคหนึ่งอาจไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับภูมิภาคอื่นๆ ที่มีลักษณะทางธรณีวิทยา รูปแบบของรอยเลื่อน และลักษณะของแผ่นดินไหวที่แตกต่างกันได้โดยง่าย ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสตินเองก็ยอมรับว่าวิธีการของพวกเขายังจำเป็นต้องได้รับการทดสอบในพื้นที่อื่นๆ เพื่อดูว่าจะสามารถให้ผลลัพธ์ที่เทียบเคียงกันได้หรือไม่ ดังนั้น การขาดข้อมูลที่ครอบคลุมและเครือข่ายการตรวจวัดที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายในการขยายผลการวิจัยนี้
- ท่าทีระมัดระวังของหน่วยงานหลัก: หน่วยงานสำคัญอย่างสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) ยังคงมีท่าทีระมัดระวังต่อการคาดการณ์แผ่นดินไหวในระยะสั้น ซึ่ง USGS ยืนยันว่าในปัจจุบันยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดสามารถคาดการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ได้อย่างแม่นยำ และยังไม่คาดหวังว่าจะสามารถทำได้ในอนาคตอันใกล้ และทางหน่วยงานยังคงให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมในระยะยาว เช่น การเสริมสร้างความแข็งแรงของอาคารให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวได้ หรือการวางแผนการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสมตามแผนที่ความเสี่ยง และการให้ความรู้แก่ประชาชนในการรับมือกับภัยพิบัติ มากกว่าที่จะมุ่งเน้นไปที่การคาดการณ์ในระยะสั้นซึ่งยังไม่มีความแน่นอน นอกจากนี้ USGS ยังมองว่างานวิจัยของมหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสตินเป็นเพียง "ก้าวแรกที่เหมาะสม" เท่านั้นสำหรับการเสนอและตรวจสอบเทคนิคการคาดการณ์แผ่นดินไหวที่เป็นไปได้ และยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญ
- ข้อมูลและเครือข่ายตรวจวัดยังไม่เพียงพอ: ระบบ AI ที่ใช้ในการคาดการณ์แผ่นดินไหวจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและครอบคลุมจากภาคพื้นดิน อย่างไรก็ตาม เครือข่ายการตรวจวัดแผ่นดินไหวยังขาดความครอบคลุมในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งระบบ AETA (Advance Earthquake Tracking in Asia) ในประเทศจีน ซึ่งเป็นระบบที่ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสตินใช้ในการทดลองนั้นเป็นเครือข่ายที่ติดตั้งเซ็นเซอร์และแม่เหล็กไฟฟ้าจำนวนมาก ซึ่งอาจไม่สามารถจำลองได้ในภูมิภาคอื่นๆ นอกจากนี้ ข้อมูลที่ AI ได้รับการฝึกฝนมามีความเฉพาะเจาะจงกับพื้นที่ทดลองในประเทศจีน และอาจไม่สามารถนำไปใช้ได้ผลดีกับข้อมูลจากภูมิภาคอื่นที่มีลักษณะแผ่นดินไหวที่แตกต่างกัน ดังนั้น การมีข้อมูลที่เพียงพอและเหมาะสมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การคาดการณ์แผ่นดินไหวด้วย AI มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
การคาดการณ์แผ่นดินไหวที่แม่นยำจะเป็นจริงในอนาคตหรือไม่?
- แม้ว่าผลลัพธ์จากงานวิจัยล่าสุดจะมีความน่าสนใจ แต่การนำ AI มาใช้ในการคาดการณ์แผ่นดินไหวในระดับปฏิบัติจริงยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมากมาย เช่น การพัฒนาแบบจำลอง AI ที่สามารถนำไปใช้ได้กับหลากหลายภูมิภาค การสร้างเครือข่ายการตรวจวัดที่ครอบคลุมทั่วโลก และการได้รับความเชื่อมั่นและการยอมรับจากหน่วยงานและผู้เชี่ยวชาญในวงการแผ่นดินไหววิทยา ยังคงเป็นเป้าหมายที่ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในระหว่างนี้การเตรียมความพร้อมรับมือกับแผ่นดินไหวในระยะยาวจึงยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ร้ายแรงนี้
- หากมองในระยะยาวความฝันที่จะใช้ AI คาดการณ์แผ่นดินไหวในระดับรายวันอาจยังคงเป็นเป้าหมายที่อยู่ไกลเกินเอื้อม อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในระยะกลาง (5-10 ปีข้างหน้า) กลับดูมีความหวังและน่าจับตามอง โดยเราอาจได้เห็นความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ดังนี้:
- การพัฒนา AI แบบเฉพาะพื้นที่: ด้วยการสร้างแบบจำลอง AI ที่ได้รับการฝึกฝนจากข้อมูลและลักษณะทางธรณีวิทยาที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภูมิภาค ซึ่งอาจนำไปสู่การคาดการณ์ที่มีความแม่นยำสูงขึ้นในพื้นที่นั้นๆ
- การทำงานร่วมกันระหว่าง AI และนักธรณีวิทยา: การบูรณาการความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติของ AI เข้ากับความรู้และความเข้าใจเชิงเหตุผลของนักธรณีวิทยา เพื่อผลข้อมูลที่มีความลึกซึ้งและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
- การพัฒนาเครือข่ายตรวจวัดขั้นสูง: การลงทุนและขยายเครือข่ายเซ็นเซอร์ตรวจวัดสนามแม่เหล็กและการเปลี่ยนแปลงของแรงกดใต้ดินให้มีความละเอียดและครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ AI มีข้อมูลที่แม่นยำและหลากหลายมิติในการวิเคราะห์
แม้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้เราอาจจะยังไม่มีระบบที่สามารถคาดการณ์แผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำในระดับนาทีหรือชั่วโมง แต่ AI กำลังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนจากสิ่งที่เคยเป็นไปไม่ได้ ให้กลายเป็น "อาจเป็นไปได้ในบางกรณี" ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยพิบัติ
มุมมองสำหรับนักลงทุนและผู้นำเทคโนโลยี:
- การพัฒนาเทคโนโลยี AI ในสาขาวิทยาศาสตร์โลก (Earth Science) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการคาดการณ์และรับมือกับภัยพิบัติอาจกลายเป็นโอกาสใหม่ที่สำคัญในกลุ่มเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ที่สามารถตอบโจทย์ความท้าทายระดับโลกได้ ซึ่งนักลงทุนอาจให้ความสนใจและมองหาโอกาสในการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี Geospatial AI, Sensor Fusion หรือ AI สำหรับการคาดการณ์ภัยพิบัติ
- สำหรับประเทศและเมืองที่ต้องการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงระบบอย่างมีประสิทธิภาพ อาจเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลและเครือข่ายการตรวจวัดที่ทันสมัยและครอบคลุม ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมที่สำคัญสำหรับอนาคตของการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
สรุป AI กับความหวังใหม่ในการทำความเข้าใจแผ่นดินไหว
ในปัจจุบันจะยังไม่มีเทคโนโลยีใด รวมถึง AI ที่สามารถคาดการณ์แผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำ 100% แต่ AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถมองเห็นสัญญาณหรือรูปแบบที่อาจบ่งชี้ถึงการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ได้ล่วงหน้ามากขึ้น และด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างนักวิทยาศาสตร์ด้าน AI และนักธรณีวิทยาจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาและทำความเข้าใจกลไกอันซับซ้อนของภัยพิบัติทางธรรมชาตินี้ในอนาคต ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และช่วยลดความสูญเสียจากแผ่นดินไหวในระยะยาว
--------------------------------
Sources:
- USGS: Can you predict earthquakes?
- CACM: Why Can’t We Predict Earthquakes?
- India AI: AI-Driven Earthquake Prediction for a Safer Future in 2025
- NTA: UT Austin Says You Can Predict 70% of Earthquakes
- Nationalgeographic: AI is helping seismologists find the next monster earthquake
- Eco-business: AI is shaking up the hidden world of earthquake forecasting