ทิศทางของ CeFi & DeFi จากมุมมองมหาเศรษฐี Blockchain อันดับสองของโลก ผู้ก่อตั้ง FTX
ในตลาดการเงินและการลงทุนทั้งหมด ปฏิเสธไม่ได้ว่า Exchange Market เป็นพื้นที่ที่น่าสนใจและมีกระแสเงินหมุนเวียนอย่างมหาศาล และเมื่อเจาะลงมาที่ DEX ในตอนนี้ก็จะพูดถึงใครไปไม่ได้นอกจาก Sam Bankman-Fried ที่เป็นมหาเศรษฐี Blockchain อันดับสองของโลกผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Alameda Research และ FTX ที่เพิ่งปิดการระดมทุนได้ 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมีมูลค่า 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในโอกาสนี้ SCB 10X จึงสรุปบทสัมภาษณ์ ของ Sam ดำเนินรายการโดยคุณสาวิทธ์ ตริสิริสัตยวงศ์ Integration Lead จาก Band Protocol ซึ่งเป็น Cross-Chain Data Oracle สัญชาติไทย เกี่ยวกับ FTX และทิศทางของ CeFi กับ DeFi ในอนาคต จากงาน REDeFiNE TOMORROW 2021 มาให้ทุกท่านได้ติดตามกัน
ทำความรู้จักกับ FTX
ในปี 2019 มี Exchange Platform จำนวนมาก แต่ FTX ก็ยังเห็นโอกาสและเข้ามาแข่งขันในตลาดนี้ เพราะ Sam เห็นถึงปัญหาของแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น ไม่มีกลไกการจัดการความเสี่ยงทั้งที่เงินทุนลูกค้าหมุนเวียนในแต่ละวันเป็นล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่สำคัญ เพียงไม่กี่ปี อุตสาหกรรมนี้เติบโตจากมูลค่า 25,000 ล้าน สู่ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้นการจะปรับตัวให้ทันกับตลาดที่โตในเวลาอันรวดเร็วของธุรกิจในกลุ่มเล็กจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
แม้ว่าตอนนี้ FTX จะเป็นแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนอนุพันธ์ระดับ Top 5 และมีปริมาณเงินไหลเข้าออกอย่างมหาศาลในแต่ละวัน แต่จำนวนผู้ใช้งานเป็นเพียง 2% ของ Exchange Platform ทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ FTX เข้าสู่ตลาดช้า ทีมงานจึงจำเป็นต้องทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยพวกเขาได้ Tom Brady นักฟุตบอลชื่อดังชาวอเมริกา และ Gisele Bündchen นางแบบระดับโลกมาเป็น Brand Ambrassor นอกจากนี้ Sam ยังต้องการขยายฐานผู้ใช้งาน โดยอาศัยพาร์ทเนอร์ การดำเนินธุรกิจช่วงแรกจึงใช้เงินทุนส่วนใหญ่ไปกับการหาหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ ซึ่งจะเลือกจากบริษัทที่ไม่ได้มีพื้นฐานเกี่ยวกับการลงทุนในเทคโนโลยี แต่มีลูกค้ากำลังมองหาโอกาสในการลงทุนใน Crypto ที่สำคัญคือลูกค้ากลุ่มนี้ต้องมี Royalty สูง โดยไม่นานมานี้พวกเขาได้จับมือกับ TSM ทีม E-Sports ที่ทรัพย์สินมากที่สุดในโลก และ Major League Baseball รวมถึงได้รับสิทธิ์ในการตั้งชื่อสนามเหย้าของ Miami Heat ด้วย จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่าพาร์ทเนอร์ล้วนอยู่ในวงการกีฬา นั่นเป็นเพราะ Sam คิดว่ากีฬาเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ผู้คนหลายสิบล้านคนติดตามและหลงใหล นอกจากนี้กีฬายังมีความหมายและสามารถสร้างแรงจูงใจให้กับผู้คนจำนวนมาก ดังนั้นจึงถือเป็นกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่ที่เขาสนใจ ที่สำคัญคือ Partner เหล่านี้ ช่วยทำให้ FTX เป็นที่รู้จักในสหรัฐฯ
ส่วนหนึ่งของความสำเร็จของ FTX มาจาก Alameda Research ที่ Sam ก่อตั้งในปี 2017 เพราะจากงานวิจัยที่นี่ทำให้เขาเห็นปัญหาในระบบ และเข้าใจประสบการณ์ของคนในวงการนี้ ซึ่งส่งผลให้เขาสามารถจัดโครงสร้างการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้ดี เขามองว่าการเจอปัญหาก่อน แล้วพยายามแก้ไขง่ายกว่าการทำความเข้าใจปัญหาจากผู้ใช้ในภายหลัง แม้การทำสิ่งนี้จะเป็นเรื่องยากก็ตาม
ความแตกต่างของ FTX ส่วนหนึ่ง Sam คิดว่ามาจากการบริหารบุคลากร หลายครั้งที่เรามักจะเห็นบริษัทเพิ่มพนักงานจำนวนมากเพื่อขยายการผลิต แต่สุดท้ายกลับมีประสิทธิภาพลดลง เพราะการตัดสินใจช้าลงเพราะต้องรอความเห็น หรือการแบ่งหน้าที่ที่อาจไม่ชัดเจน ดังนั้นเขาจึงจ้างงานเฉพาะผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านโดยตรงที่สามารถทำได้ดี และรักในงาน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา Sam เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้ใช้งาน โดยมีการเปลี่ยนจาก Trader เป็นนักลงทุนระยะยาว และเริ่มมีผู้ใช้ที่เพิ่งเข้าวงการ Crypto มากขึ้น แต่เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นแล้วลูกค้าส่วนมากของ FTX เป็นนักลงทุนมืออาชีพมากกว่านักลงทุนรายย่อยหรือมือใหม่
อนาคตของ Exchange Platform
จากความคิดเห็นส่วนตัวของ Sam มองว่าอีกไม่เกิน 3 ปีจะมีการย้ายจากพื้นที่ที่ไม่มีการควบคุมและไปสู่พื้นที่ที่มีการกำกับดูแล เนื่องจาก Crypto มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้จึงสำคัญ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือหน่วยงานกำกับดูแลต้องการให้ธุรกิจในวงการนี้เป็นกิจกรรมที่ได้รับอนุญาต แต่ยังไม่ได้ออกใบอนุญาตที่ชัดเจน ปัจจุบันเริ่มมีนักลงทุนสถาบันต่างๆ เข้ามาในแวดวงนี้ หลายๆที่ยังเล็กอยู่ แต่พอมาอยู่ในคริปโตอาจก้าวกระโดดเป็นสถาบันขนาดใหญ่ และเขาคาดว่าอีก 1-30 เดือนตลาด Crypto จะใหญ่ขึ้นมากๆ โดยการเข้ามานี้ทำให้ผู้เล่นเดิมอย่างเขาต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานระดับสถาบัน และต้องปรับการทำงานให้เข้ากับสถาบันได้ด้วย ซึ่งตอนนี้ DeFi อื่นๆ ก็เริ่มออกโปรโตคอลใหม่ให้ตอบสนองกับความต้องการของสถาบัน โดย Sam ได้ออกแบบ FTX ให้ง่ายต่อการปรับตัวนี้อยู่แล้ว แต่ก็มี 2 สิ่งที่ต้องทำอยู่ อย่างแรกคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหน่วยกำกับดูแล ซึ่ง Sam ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เขาพยายามยื่นขอใบอนุญาตจากหลายหน่วยงาน และยินดีให้ความร่วมมือกับผู้กำกับดูแลโดยเฉพาะประเด็นการออกกฎระเบียบสำหรับอนุพันธ์ของ Crypto ที่แทบจะไม่มีเลยในปัจจุบัน อีกอย่างคือการดูแลสินทรัพย์ ปกติแล้วในระบบการเงินระหว่างประเทศ มักจะมีคนกลางเข้ามาดูแลการเคลื่อนย้ายเงินทุน ซึ่งใช้เวลานานแต่ใน Crypto สามารถเกิดขึ้นทันที จึงต้องมีการดูแลเพิ่มเติมในจุดนี้
การพัฒนาของ CeFi และ DeFi ในอนาคต
ในตอนนี้ CeFi ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากอยู่ และ Sam เองก็มองว่ายังไม่มีโปรโตคอลไหนบน DeFi ที่ใช้ดีกว่า CeFi ในส่วนการแข่งขันของ FTX เขาคิดว่าการที่ CEX มีความร่วมมือกับสถาบันอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แม้ว่า CeFi ในตลาด Exchange อาจได้เปรียบกว่า DeFi ซึ่งความยากของส่วนนี้คือการจะเข้าไปร่วมมือกับสถาบันการเงินต่างๆ รวมถึงผู้กำกับดูแล ส่วนความแตกต่างของ 2 ระบบนี้คือเรื่องจำนวนคน ในการสร้างผลิตภัณฑ์ของ CeFi ใช้คนเป็นหลักร้อย แต่ของ DeFi จะมีทีมหลักสิบคนเท่านั้น ผลคือเราจะเห็นบริษัทที่วิ่งได้ดีที่สุดกับบริษัทที่เคลื่อนที่ด้วยพลังงานสูงสุด ยิ่งปัจจุบันประสิทธิภาพของ CeFi ยังนำหน้าอยู่เยอะ เพราะ CeFi สามารถปรับตัวได้เร็วมาก ส่วน DeFi ต้องผ่าน vote จากคนส่วนมากก่อนถึงจะทำได้ และมันเป็นเรื่องที่ยากมากของ DeFi ที่จะทำทั้งผลิตภัณฑ์ ติดต่อกับพาร์ทเนอร์ หรือสื่อสารกับผู้ใช้งานด้วยคนจำนวนไม่กี่คน Sam คิดว่าการสร้างทีมแบบ Centralization จะทำให้การทำงานง่ายกว่า แต่ DeFi ก็มีพลังพิเศษที่จะมีส่วนในการพัฒนาต่อยอดในอนาคต นั่นก็คือการทำซ้ำ (Iterate) เช่น ในขณะที่คนอื่นกำลังสร้างแอปพลิเคชันในสายผลิตภัณฑ์เดียวกันกับคุณ คุณสามารถนำ Opensource code ของเขาแล้วนำมารวมกับของตัวเองได้ทันที ซึ่งการที่ CeFi ทำสิ่งนี้ไม่ได้จึงมีผลิตภัณฑ์ชั้นเลิศเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น และเหมือนจะเจอทางตันในการพัฒนาต่อ
ในอนาคตเขาคิดว่า DeFi ยังมีพื้นที่ขยายไปได้อีกเยอะ แต่ความเร็วและการ Scale ยังไม่เพียงพอ และการพัฒนาให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้นต้องใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผลบล็อกเชนซึ่งมีต้นทุนแพงมาก ในตอนนี้จึงทำได้แค่เปลี่ยนไปใช้ Chain ที่เร็วกว่า ซึ่งมีจำนวนไม่กี่รายเท่านั้น และอีกสิ่งที่ DeFi ต้องพัฒนาคือรูปแบบการใช้งาน ไม่ให้ซับซ้อนจนเกินไป (User Friendly) นอกจากนี้ DeFi ยังมีปัญหาเดิมอย่างการที่คนจำนวนมากพยายามทำทุกอย่างบนบล็อกเชน ซึ่งระบบไม่น่าจะรับไหว รวมถึงไม่น่าซ่อมแซมได้ในอนาคต ถ้าสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ DeFi มีโอกาสที่จะพัฒนาให้มีศักยภาพสูงกว่านี้ และแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจาก CeFi ได้มากขึ้น
และนี่คือ เรื่องราวที่น่าสนใจของ FTX และมุมมองของ Sam Bankman-Fried ที่มีต่อวงการ CeFi และ DeFi ในอนาคต โอกาสต่อไป SCB 10X จะมีเรื่องราวของ Blockchain ที่น่าสนใจมาให้ติดตามกันอีกอย่างแน่นอน
สามารถติดตาม Session นี้ย้อนหลังได้ที่: YOUTUBE