milkyway 6
milkyway 7
milkyway 8
Technology
28 มีนาคม 2566
ภาษาไทย

กรณีศึกษา: การกำกับดูแล Web 3.0 ควรต่อยอดไปในทิศทางเดียวกันจาก Web ในยุคก่อน?

Web 3.0 และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องจะมีการใช้งานที่แพร่หลายไปได้ไกลและเร็วเพียงใดยังคงต้องติดตามกันต่อไป โดยมีความท้าทายที่ต้องแก้ไขและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ประสบการณ์ผู้ใช้ไปจนถึงการฉ้อโกง รวมถึงสิ่งสำคัญที่สุด คือการกำกับดูแลสำหรับ Web 3.0 ที่ยังคลุมเครือ และมีการเรียกร้องให้มีความชัดเจนมากขึ้น อย่างเช่นเกี่ยวกับสินทรัพย์และการคุ้มครองผู้บริโภคสำหรับทุนที่ถืออยู่ใน Custody 

อย่างไรก็ตาม การเข้าใจคุณลักษณะหลักของ Web 3.0 ยังคงมีความสำคัญสำหรับผู้นำธุรกิจในหลากหลายภาคส่วน รวมถึงการเข้าใจแนวทางที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมดูแลจากหน่วยงานกำกับดูแลหรือภาครัฐ ด้วยเหตุนี้ บทความนี้จึงเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่อาจนำมาปรับใช้และต่อยอดเกี่ยวกับการกำกับดูแล Web 3.0 

Article4JUN_1200X800.jpg

การกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตยุคเก่าที่พัฒนามาจนถึงปัจจุบันมุ่งเน้นที่แอปพลิเคชัน

วิสัยทัศน์และแนวคิดอินเทอร์เน็ตในยุคแรกเริ่มหลายคนต่างต้องการให้อินเทอร์เน็ตมีเสรีและเปิดกว้างตลอดไป และเป็นเครื่องมือที่ไร้ขอบเขตและไร้กฎเกณฑ์สำหรับผู้ใช้ทุกคน แนวคิดดังกล่าวได้สูญเสียความชัดเจนไปบ้างในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากมีการปราบปรามการใช้อินเทอร์เน็ตในทางที่ผิดโดยภาครัฐ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีส่วนใหญ่ที่อยู่ภายใต้โปรโตคอลการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต เช่น HTTP (การแลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับเว็บไซต์) FTP (การถ่ายโอนไฟล์) และ SMTP (อีเมล) ยังคงมีความอิสระและเปิดกว้าง โดยรัฐบาลทั่วโลกยังคงรักษาแนวคิดหลักของอินเทอร์เน็ตดังกล่าวไว้โดยการยอมรับเทคโนโลยีเบื้องหลังที่ยังคงเป็นโปรโตคอลแบบ Open Source และมีการกระจายอำนาจ รวมถึงอิสระและมาตรฐานเดิม

จากนั้นกฎหมายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงในปี 1992 ของสหรัฐฯ เป็นการปูทางสู่ความเจริญของอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์โดยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับ TCP/IP (ซึ่งเป็นโปรโตคอลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์) รวมถึงการผ่านกฎหมายการสื่อสารโทรคมนาคมที่ได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรสในปี 1996 เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในกฎหมายโทรคมนาคมของอเมริกา เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่อินเทอร์เน็ตรวมอยู่ในการกระจายเสียงและการจัดสรรคลื่นความถี่ โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็ไม่ได้ขัดขวางวิธีการข้ามผ่านเครือข่ายข้อมูลแต่อย่างใด และยังคงให้ความชัดเจนเพียงพอที่จะช่วยให้สหรัฐฯ ครองเศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตด้วยยักษ์ใหญ่มาจนถึงในปัจจุบัน เช่น Amazon, Apple, Alphabet และอื่น ๆ 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากฎหมายจะไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ยังทำให้อุตสาหกรรมและนวัตกรรมเติบโตต่อไปได้และส่งผลให้มีบริการอินเทอร์เน็ตจำนวนมากที่เรานิยมใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งจากที่ผ่านมารัฐพยายามควบคุมเพียงแอปพลิเคชัน


การกำกับดูแล Web มุ่งเน้นไปที่ “แอปพลิเคชัน” สามารถปรับใช้ได้กับ Web 3.0

จากอดีตที่ผ่านมา รัฐพยายามควบคุมเพียงแค่แอปพลิเคชัน เช่น เบราว์เซอร์ เว็บไซต์ และซอฟต์แวร์อื่นๆ หรือโดยทั่วไปเรียกว่า “ไคลเอ็นต์” ที่ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงเว็บ ไม่ใช่การควบคุมโปรโตคอล โดยแนวทางการควบคุมดังกล่าวสามารถต่อยอดเพื่อนำไปใช้ใน Web 3.0 ได้ ซึ่ง Web 3.0 เป็นวิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ตที่มีแอปหรือไคลเอนต์รูปใหม่ เช่น เว็บแอปและกระเป๋าเงิน โปรโตคอลแบบกระจายศูนย์ รวมถึงส่วนของการชำระเงินสำหรับการแลกเปลี่ยนที่ใช้ความสามารถของ Blockchain และ Smart Contract และในแง่ของการกำกับดูแลใน Web 3.0 ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความจำเป็น แต่ควรต้องมีเลือกวิธีการกำกับดูแลที่เหมาะสมที่สุดกับลักษณะ Tech Stack ของแต่ละส่วนของ Web 3.0 ซึ่งมีความแตกต่างออกไป เพื่อไม่ให้กระทบกับการเติบโตของ Web 3.0 โดยแรกเริ่มหรือ Web1 มีลักษณะของโปรโตคอลที่มีข้อมูลเป็นฐานสำคัญ (Information-Based Protocols) ส่วน Web 3.0 เป็นโปรโตคอลที่มูลค่าเป็นฐานสำคัญ (Value-Based Protocols) 

โดยทั่วไปประสบการณ์ผู้ใช้เว็บมักเกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อผ่านผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ได้รับการควบคุม และจากนั้นจึงเข้าถึงข้อมูลผ่านเบราว์เซอร์ เว็บไซต์ และแอปพลิเคชันที่ได้รับการควบคุม ซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับโปรโตคอลที่เป็นแบบเปิดและฟรี ภาครัฐจึงสามารถดูแลควบคุมประสบการณ์บนเว็บเหล่านี้ได้โดยใช้การจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาบนเว็บไซต์ หรือโดยกำหนดให้ปฏิบัติตามกฎความเป็นส่วนตัวและการละเมิดลิขสิทธิ์


เหตุผลสนับสนุนว่าทำไมจึงไม่มีการกำกับดูแลที่โปรโตคอล

เหตุผลที่การกำกับดูแลมุ่งเน้นไปที่แอปพลิเคชัน ซึ่งการกำกับดูแลในระดับโปรโตคอลไม่ได้รับการสนับสนุนและไม่สามารถเป็นจริงได้:

  • ประการแรก: เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติที่โปรโตคอลจะใช้กฎข้อบังคับเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ซึ่งแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันไปและอาจมีความขัดแย้งกันตามเขตอำนาจ แม้ว่าจะเป็นไปได้ทางเทคโนโลยีในการสร้างโปรโตคอลที่สามารถช่วยตัดสินใจที่ซับซ้อนและเป็นส่วนตัว (Subjective) ก็ตาม 

กฎขึ้นอยู่กับบริบทใน Web 3.0 สิ่งที่อนุญาตภายใต้กฎหมายควบคุมจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งแต่ละ DEX ไม่สามารถกำหนดเป็นมาตรฐานสากลสำหรับกฎหมายเช่นเดียวกับ SMTP ที่ไม่สามารถจำกัดการเข้าถึงได้ตามภูมิศาสตร์ 

  • ประการที่สอง: ในทางเทคโนโลยีเป็นไปไม่ได้ที่โปรโตคอลต่างๆ จะต้องมีกฎหมายกำกับดูแล เนื่องจากส่วนใหญ่ยังมีความคลุมเครือและมักถูกกำหนดโดยความคิดเห็นส่วนตัวหรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (Subjective Regulations) แม้ว่ากฎจะมีเจตนาที่ดีก็ตาม


ยกตัวอย่างจากการพิจารณากรณีของ “สแปม” ที่ไม่มีใครในโลกพึงพอใจ แต่จะเป็นอย่างไรหากใน Web ปัจจุบันมีการกำหนดให้โปรโตคอลที่ใช้ในการส่งอีเมลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือ “SMTP” ผิดกฎหมายจากการอำนวยความสะดวกให้สแปม ซึ่งหมายความว่าจะทำให้เราไม่มีอีเมลใช้กันในปัจจุบัน ดังนั้น การควบคุมที่โปรโตคอลจึงไม่ใช่คำตอบของการแก้ปัญหา แม้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่พยายามกำจัดสแปมออกจากแอปอีเมลหรือไคลเอนต์ก็ยังคงแก้ปัญหาที่ต้นตอไม่ได้ 

นอกจากนี้ แม้ว่าผู้มีอำนาจบางรายจะกำหนดให้โปรโตคอล SMTP มีการกรองสแปมตั้งแต่ค่าเริ่มต้น ผู้ประสงค์ร้ายก็ยังสามารถทำได้ เนื่องจากโปรโตคอลเป็นแบบ Open Source จึงสามารถหลีกเลี่ยงการคัดกรองได้ ดังนั้น การห้ามไม่ให้ SMTP สามารถส่งสแปมอาจไม่ได้ผลและอาจกลายเป็นจุดจบของอีเมลตามที่ทราบกันดี

ใน Web 3.0 เราสามารถเปรียบเทียบโทเคนกับอีเมลในบริบทของโปรโตคอลการแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Exchange) หากรัฐบาลต้องการยับยั้งการแลกเปลี่ยนโทเคนบางตัวที่อาจเป็นหลักทรัพย์หรืออนุพันธ์และใช้โปรโตคอลดังกล่าว พวกเขาจำเป็นต้องสามารถระบุข้อกำหนดทางเทคนิคที่ตรงตามหมวดหมู่ดังกล่าวอย่างเป็นกลาง แต่เกณฑ์การจำแนกตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากการพิจารณาสินทรัพย์ว่าเป็นหลักทรัพย์หรืออนุพันธ์เป็นการวิเคราะห์ที่อาศัยความคิดเห็นส่วนบุคคลหรือต้องมีคนกลาง และต้องมีการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและกฎหมายร่วมด้วย แม้แต่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ก็ยังประสบกับปัญหานี้

ดังนั้น ความพยายามที่จะใส่การวิเคราะห์โดยผ่านคนกลางหรือแบบ Subjective ลงในชุดคำสั่งส่วนฐานจึงไร้ประโยชน์ เช่นเดียวกับกรณีของ SMTP และเป็นไปไม่ได้ที่โปรโตคอลการแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Exchange) จะมีการวิเคราะห์เชิงอัตนัย (Subjective) โดยไม่ต้องอาศัยมนุษย์เป็นตัวกลาง เนื่องจากจะกลายเป็นการลบล้างการกระจายศูนย์และความเป็นอิสระของโปรโตคอล และการนำกฎข้อบังคับดังกล่าวไปใช้กับ DEX จะกลายเป็นการยับยั้งการทำงานของโปรโตคอล ดังนั้นจึงเป็นการผิดกฎหมายประเภทนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต และเป็นอันตรายต่อความสามารถในการทำงานของ Web 3.0 ทั้งหมด

และประการที่สาม จากเหตุผลต่างๆ ข้างต้นจะเห็นได้ชัดว่าการควบคุมแอปเหมาะสมมากกว่าการพยายามเข้าไปควบคุมโปรโตคอล ซึ่งกฎระเบียบที่ใช้กับแอปสามารถบรรลุเป้าหมายของภาครัฐหรือหน่วยงานกับกำดูแลได้โดยไม่กระทบต่อเทคโนโลยีพื้นฐานของ Web 3.0 และวิธีการดังกล่าวได้ผลและมีการใช้จริงปัจจุบัน

โปรโตคอลของ Web ในยุคแรกยังคงมีประโยชน์แม้ว่าผ่านไปกว่า 30 ปี เนื่องจากยังคงเป็นโอเพ่นซอร์ส กระจายศูนย์ เป็นอิสระและมีมาตรฐาน รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลสามารถจำกัดข้อมูลที่ส่งผ่านโปรโตคอลเหล่านี้ได้ด้วยการควบคุมที่แอปพลิเคชัน แต่ละประเทศสามารถกำหนดแนวทางของตนเองได้ และธุรกิจที่ดำเนินการเบราว์เซอร์ เว็บไซต์ และแอปพลิเคชันสามารถปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับการกำกับดูแลในพื้นที่ของตนได้ 

Web รุ่นแรกให้เครื่องมือที่น่าทึ่งแก่เราในรูปแบบของเครือข่าย การแลกเปลี่ยนข้อมูล อีเมล และโปรโตคอลการถ่ายโอนไฟล์ ทั้งหมดนี้ทำให้สามารถย้ายข้อมูลด้วยความเร็วของอินเทอร์เน็ต และ ‘Web 3.0’ ทำให้การถ่ายโอน “มูลค่า” สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยความเร็วอินเทอร์ในทำนองเดียวกัน ทั้งมีฟังก์ชันใหม่ๆ ที่เข้ามาพลิกโฉมโลกการเงินบนอินเทอร์เน็ตใหม่นี้ ซึ่งล้วนเป็นนวัตกรรมที่ควรได้รับการคุ้มครองให้เกิดการพัฒนาต่อไป และเรื่องกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับต่างๆ ยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากการใช้งานหลากหลายภาคส่วนใน Web 3.0 ตั้งแต่ DeFi ไปจนถึงระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยครีเอเตอร์ ซึ่งค่อนข้างละเอียดอ่อนและมีความซับซ้อนมากขึ้น


สรุป

Web 3.0 ยังคงเป็นโลกแห่งการสร้างสรรค์ ปัญหาและข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎข้อบังคับ (Regulation) ควรต้องได้รับการจัดการแก้ไขให้มีความชัดเจนก่อนที่จะขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนไปถึงการยอมรับในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม การนำเสนอ “คุณค่า” สำหรับผู้บริโภคยังคงเป็นหัวใจสำคัญ เนื่องจากช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจากแอปพลิเคชันและการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ ซึ่งทุกภาคส่วนทั้งบริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ตลอดจนภาครัฐและสังคม ควรตระหนักถึงการมาของ Web 3.0 ที่กำลังเกิดขึ้นและเริ่มเตรียมการรับมืออย่างเหมาะสมเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของโอกาสใหม่ทางธุรกิจนี้

Use and Management of Cookies

We use cookies and other similar technologies on our website to enhance your browsing experience. For more information, please visit our Cookies Notice.

Reject
Accept