milkyway 6
milkyway 7
milkyway 8
trending
08 พฤษภาคม 2568
ภาษาไทย

ปลดล็อกอนาคตการชำระเงิน: ส่องโอกาสและความท้าทายของ Stablecoins

Article3MAYTH_1200X800.jpg


Key Takeaways

  • Stablecoin มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล แต่การขยายการใช้งานในระบบการเงินกระแสหลักยังคงต้องเผชิญกับความท้าทาย

  • ข้อจำกัดหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เอื้อต่อการทำงานข้ามระบบ (ระบบปิด) การขาดกลไกการหักบัญชีที่มีประสิทธิภาพ และความไม่แน่นอนของกฎระเบียบ

  • ทางเลือกที่น่าสนใจ เช่น Tokenized Deposits และ Tokenized Money Market Fund Shares กำลังเข้ามาเสริมศักยภาพของระบบการชำระเงินดิจิทัล

  • ความสำเร็จในอนาคตของ Stablecoin ขึ้นอยู่กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ความโปร่งใสในการดำเนินงาน และการได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากทุกภาคส่วน


บทบาทและศักยภาพของ Stablecoins ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมการชำระเงิน


ในยุคที่สกุลเงินดิจิทัลได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง 'Stablecoins' กลายเป็นโซลูชันที่มีศักยภาพในการเชื่อมโยงโลกการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับระบบ Cryptocurrency ที่กำลังเติบโต

  • Stablecoin คือสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษามูลค่าให้คงที่ โดยส่วนใหญ่มักจะตรึงมูลค่าไว้กับสกุลเงิน Fiat หลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลดความผันผวนสูงซึ่งเป็นลักษณะเด่นของ Cryptocurrency ทั่วไป

  • ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น เช่น ความรวดเร็วในการทำธุรกรรม ต้นทุนต่ำ และความสามารถในการรองรับการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำลงอย่างมาก ทำให้ผู้รับเงินได้รับเงินเต็มจำนวนมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้บริษัทสามารถชำระเงินให้คู่ค้า พนักงาน หรือผู้สร้างคอนเทนต์ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

  • Stablecoin จึงได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิดในฐานะที่เป็นหัวใจสำคัญของระบบการชำระเงินในเศรษฐกิจ Web3 และ Blockchain

  • แม้แต่ PayPal ก็ได้เข้ามาในตลาดนี้ โดยเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลของตนเองภายใต้ชื่อ “PYUSD” ในเดือนสิงหาคม 2023 ถือเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์ด้านสกุลเงินดิจิทัลที่กว้างขึ้นของบริษัท การเคลื่อนไหวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมว่า Stablecoins มีข้อได้เปรียบหลายประการ และถูกมองว่าเป็นวิวัฒนาการของการชำระเงินยุคใหม่ที่สามารถทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งรองรับการตั้งโปรแกรมที่หลากหลาย

  • ในปี 2025 นี้ Visa และ Mastercard ก็ได้รุกขยายการรองรับการชำระเงินด้วย Stablecoin อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหรียญ USDC ที่ออกโดย Circle ซึ่งทั้งสองบริษัทให้ความสำคัญกับการผสานรวม Stablecoin เข้ากับระบบการชำระเงินที่มีอยู่ มุ่งหวังที่จะยกระดับความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมให้ดียิ่งขึ้น

  • สำหรับ Visa ได้ร่วมมือกับ Circle เพื่อเปิดใช้ระบบการชำระเงินด้วย USDC โดยเฉพาะในตลาดละตินอเมริกา และยังได้เปิดตัวโปรเจกต์บัตรร่วมกับ “Baanx”​ ซึ่งเป็นบัตรที่สามารถใช้จ่าย USDC ได้โดยตรงจากกระเป๋าเงิน Crypto ของผู้ใช้ โดยใช้ Smartcontract ในการโอนยอดคงเหลือของ Stablecoin ไปยัง Baanx แบบเรียลไทม์ ซึ่ง Baanx จะทำการแปลงยอดคงเหลือนั้นเป็นสกุลเงิน Fiat สำหรับการชำระเงิน นอกจากนี้ Visa ยังได้ลงทุนใน BVNK ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินด้วย Stablecoin เพื่อขยายการเข้าถึงและการใช้งาน Stablecoin ในธุรกิจต่างๆ

  • ทางด้าน Mastercard ก็เร่งขยายความสามารถในการชำระเงินด้วย Stablecoin โดยเปิดตัวระบบการชำระเงินแบบครบวงจรทั่วโลก ซึ่งช่วยให้ผู้คนและธุรกิจสามารถทำและรับการชำระเงินด้วย Stablecoin ได้ทุกที่ทุกเวลา

  • ข้อมูลจาก Visa Onchain Analytics ระบุว่า ในช่วง 12 เดือนล่าสุด มูลค่าการทำธุรกรรม Stablecoin ทั้งหมดอยู่ที่ 33.1 ล้านล้านดอลลาร์ และเมื่อปรับกรองกิจกรรมที่ผิดปกติจะเหลือมูลค่าการชำระเงินจริงสูงถึง 6.7 ล้านล้านดอลลาร์ และมีธุรกรรมที่ตรวจสอบแล้วผ่านกว่า 1.4 พันล้านรายการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ Stablecoin ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของการชำระเงินบน Blockchain และการใช้งานจริงในเชิงชำระเงินอย่างเป็นรูปธรรม


Average Stablecoin Supply, All Stablecoins.png


ข้อจำกัดและความท้าทายในปัจจุบัน

ถึงแม้ Stablecoin จะมีศักยภาพสูง แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดที่สำคัญซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการนำไปใช้งานในวงกว้าง ตัวอย่างเช่น:

  • ระบบปิด (Closed Loop): ปัจจุบัน Stablecoin ส่วนใหญ่ยังคงจำกัดการใช้งานอยู่ภายในระบบเฉพาะของตนเอง เช่น บนแพลตฟอร์ม DeFi หรือแพลตฟอร์มซื้อขาย ทำให้ไม่สามารถโอนข้ามระบบได้อย่างอิสระ ซึ่งเป็นการจำกัดขอบเขตการใช้งานและการบูรณาการเข้ากับระบบการเงินดั้งเดิม หากต้องการมีความสำคัญอย่างแท้จริง Stablecoin จำเป็นต้องปรับตัวไปสู่การใช้งานในวงกว้าง (Open Loop Applications) ผ่านระบบการหักบัญชีทั่วไป (Generalised Clearing) ซึ่งจะเป็นรากฐานสำหรับการขยายขนาดในการชำระเงิน

  • ขาดกลไกการหักบัญชี (Clearing Arrangements): เนื่องจาก Stablecoin ส่วนใหญ่ยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับระบบธนาคารหรือสถาบันการเงินหลัก ทำให้การนำไปใช้ชำระเงินในระบบการเงินดั้งเดิมยังไม่สะดวก

  • ความเสี่ยงคู่สัญญาและเครดิต: ผู้ใช้งานจำเป็นต้องเชื่อมั่นในความน่าเชื่อถือของผู้ออกเหรียญ โดยที่ยังไม่มีการรับประกันเสถียรภาพจากสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านเครดิตและความไม่แน่นอนของมูลค่า Stablecoin

  • สภาพคล่องและความมั่นคง: ในช่วงเวลาที่ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง หรือเกิดความตื่นตระหนก (Panic Selling) นักลงทุนมักจะต้องการเปลี่ยนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยและมีสภาพคล่องสูง เช่น เงินสด ปรากฏการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อ Stablecoins ได้เช่นกัน แม้ว่า Stablecoins จะถูกออกแบบมาให้มีมูลค่าคงที่โดยการตรึงไว้กับสินทรัพย์อื่น (เช่น เงิน Fiat หรือสินค้าโภคภัณฑ์) แต่ความสามารถในการแลกเปลี่ยน Stablecoins กลับเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็วและในราคาที่ตรึงไว้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป

  • ความไม่ชัดเจนด้านกฎระเบียบ: กรอบกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการออกและการใช้งาน Stablecoins ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา และมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ


แนวทางใหม่ปลดล็อก Stablecoins ที่น่าสนใจ

เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของ Stablecoins ได้มีการพัฒนาแนวทางใหม่ที่น่าสนใจ ได้แก่:

  • Tokenized Deposits (เงินฝากในโลกดิจิทัลที่ธนาคารรับรอง): คือเงินฝากที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ในรูปแบบโทเคนบน Blockchain ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยเงินฝากจริงภายใต้การกำกับดูแลของธนาคาร ทำให้มีความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยสูงขึ้น

  • Tokenized Money Market Fund Shares (กองทุนตลาดเงินในรูปแบบโทเคน): คือหน่วยลงทุนในกองทุนตลาดเงินที่ถูกแปลงเป็นโทเคน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและสภาพคล่องในการลงทุนและการชำระเงิน


ทั้งสองแนวทางนี้มุ่งเน้นไปที่การนำเทคโนโลยี Blockchain มาประยุกต์ใช้โดยไม่ลดทอนมาตรฐานความปลอดภัยและการกำกับดูแลที่มีอยู่ในระบบการเงินแบบดั้งเดิม โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขข้อจำกัดบางประการของ Stablecoins พร้อมกับยังคงรักษามาตรฐานด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือที่ผู้ใช้งานคุ้นเคย

สำหรับแนวทางเรื่อง Tokenized Deposits และ Tokenized Money Market Fund Shares ถูกหยิบยกขึ้นโดยกลุ่มสถาบันการเงินและผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน Blockchain ชั้นนำอย่าง Fireblocks ร่วมกับพันธมิตรธนาคารจำนวนมาก ในการผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ออกเงินฝากในรูปโทเคน และทดลองสร้างหน่วยลงทุนกองทุนตลาดเงินบน Blockchain เพื่อเสริมความปลอดภัยและสภาพคล่องของ Stablecoins (PR Newswire)

นอกจากนี้ โครงการ Sygnum Connect ของ Sygnum Bank ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ใช้งาน “Tokenized Deposits” บนแพลตฟอร์มของ Fireblocks เพื่อเปิดใช้งานการชำระเงินแบบ 24/7 ระหว่างธนาคารและตลาดทุนจริง โดยผสมผสานข้อได้เปรียบของเงินฝากธนาคารกับความรวดเร็วของ Blockchain (Fireblocks)


เงื่อนไขสำคัญเพื่อดัน Stablecoins เกิดการใช้งานในวงกว้าง 

Stablecoins สามารถก้าวขึ้นมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชำระเงินในระดับโลกได้ จำเป็นต้องมีการพัฒนาหลายด้าน ตัวอย่างเช่น:

  • การกำกับดูแลที่ชัดเจน: ต้องมีกรอบกฎหมายและข้อบังคับที่โปร่งใสและสอดคล้องกันในระดับนานาชาติ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาด

  • โครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงได้: ต้องสามารถเชื่อมต่อกับระบบธนาคาร ระบบการหักบัญชี และโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแบบดั้งเดิมได้อย่างราบรื่น

  • การบริหารความเสี่ยง: ต้องมีมาตรการที่เข้มงวดในการรองรับความเสี่ยงด้านเครดิต สภาพคล่อง และคู่สัญญา

  • การยอมรับจากภาคส่วนสถาบัน: ทั้งความร่วมมือกับธนาคาร บริษัทเทคโนโลยี และผู้ให้บริการชำระเงิน เป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้เกิดการใช้งานจริงในวงกว้าง


แนวโน้มในอนาคต

  • ระบบนิเวศของ Stablecoins ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และผู้นำในอุตสาหกรรมต่างมองเห็นศักยภาพในการแก้ไขปัญหาความไม่มีประสิทธิภาพที่มีมาอย่างยาวนานในระบบการชำระเงินทั่วโลก การที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง PayPal ให้การสนับสนุน Stablecoins อย่างแข็งขัน บ่งชี้ว่าเราอาจกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวิธีการเคลื่อนย้ายเงินทั่วโลก และเป็นที่น่าติดตามว่าเทคโนโลยีนี้จะพัฒนาต่อไปอย่างไร และจะสร้างโอกาสใหม่ๆ อะไรบ้างในอนาคต

  • ปัจจุบันจะมี Stablecoins เกิดใหม่จำนวนมาก แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าในที่สุดจะมีการรวมตัวกัน และปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จคือการมีผู้ใช้งานจำนวนมาก มีกรณีการใช้งานที่หลากหลายและใช้งานได้จริง รวมถึงมีความสะดวกในการเปลี่ยนจากเงินจริงเป็น Stablecoins หรือเปลี่ยนจาก Stablecoins เป็นเงินจริง 


นอกจากนี้ การปฏิบัติตามกฎหมายและการมีหน่วยงานกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ Stablecoins ได้รับการยอมรับและใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในกลุ่มสถาบันการเงิน การสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนานวัตกรรมและการมีกฎระเบียบที่เหมาะสมถือเป็นหัวใจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของ Stablecoins ในอนาคต



สรุป

Stablecoin แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการปฏิวัติระบบการเงินดิจิทัล ด้วยคุณสมบัติด้านความเร็ว ความโปร่งใส และต้นทุนที่ต่ำกว่าโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแบบเดิม อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ Stablecoin สามารถก้าวข้ามจากการเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ในระบบปิด ไปสู่การมีบทบาทสำคัญในระบบการชำระเงินกระแสหลัก จำเป็นต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ และการได้รับการยอมรับในระดับสถาบันอย่างกว้างขวาง

ในอนาคตอันใกล้ เราอาจไม่ได้เห็นเพียงแค่ Stablecoin เท่านั้นที่มีบทบาท แต่เป็นเครือข่ายของเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี Blockchain กับโครงสร้างทางการเงินแบบดั้งเดิมก็เป็นได้


------------------------------

 

Sources:

Use and Management of Cookies

We use cookies and other similar technologies on our website to enhance your browsing experience. For more information, please visit our Cookies Notice.

Reject
Accept