Blockchain และการเติบโต
Blockchain เป็นคำที่ใครหลายคนคงจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง แต่ชื่อแท้จริงที่เป็นต้นกำเนิดของเทคโนโลยีนี้ องค์การสหประชาชาติ หรือ Bank for International Settlement (BIS) เรียกว่า Distributed ledger เพราะจริงๆ Blockchain เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการของ Distributed ledger ด้วยการบันทึกข้อมูลต่อกันไปเรื่อยๆ เป็นเหมือนโซ่ตามชื่อ แต่หากว่าด้วย Distributed ledger อาจจะแตกกิ่งก้านสาขาการบันทึกข้อมูลรายธุรกรรมไปเป็นรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพียงกิ่งแบบ Blockchain เช่น Hashgraph หรือแบบอื่นๆ ก็เป็นได้ เพียงทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้หลักการเดียวกันคือการกระจายศูนย์การจัดเก็บและบันทึกข้อมูล
ซึ่งที่มาของตัว Distributed ledger นี้เกิดจากพื้นฐานของ Consensus Mechanism กล่าวคือ เป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาเพื่อลดการพึ่งพาการทำธุรกรรมบนพื้นฐานของความไว้วางใจเท่านั้น แต่เป็นการบันทึกรายการไปให้คู่กรณีที่ทำธุรกรรมและบุคคลอื่นๆ ช่วยเป็นพยานแวดล้อมเพื่อไม่ให้เกิดการโกงระหว่างกัน ทั้งนี้ในการเป็นพยานธุรกรรมดังกล่าว ได้มีการสร้างแรงจูงใจเพื่อให้พยานไม่เข้าพวกกับใครคนใดคนหนึ่งเพื่อร่วมกันโกง โดยการอาศัยแนวคิดอันชาญฉลาดของ Satoshi นามแฝงที่อ้างว่าเป็นผู้สร้าง Bitcoin ขึ้นมานั้น มาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่เดิม สร้างให้เกิดวิธีการใหม่ๆ ที่ลดตัวกลางซึ่งทำหน้าที่เสมือนผู้ค้ำประกันต่างๆ ออกไป
โดยในการเป็นพยานในธุรกรรมบน Bitcoin นั้น ถูกรู้จักในอีกชื่อว่าการขุด Bitcoin การขุดที่ว่าคือการใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องมาร่วมเป็นพยานในการเกิดแต่ละธุรกรรมของ Bitcoin โดยมีสิ่งตอบแทนในการเข้าเป็นพยานคือตัวเหรียญ Bitcoin ที่จะได้รับจากการเข้าร่วมในเครือข่ายดังกล่าว โดยหากจะเอ่ยถึงเครือข่ายนั้นให้ลึกลงไป แท้จริงเป็นเพียงการคาดเดาสุ่มไปเรื่อยๆ ด้วยข้อมูลของ Blockchain ก่อนหน้า เพื่อค้นหาเป็นสิ่งที่ป้อนเข้าไป (input) ซึ่งในวงการมีชื่อเรียกทางเทคนิคว่า Nonce ให้แปลงออกมาเป็นผลลัพธ์ในรูปแบบเลขฐานสอง 256 ตัว (SHA256) หรือที่เรียกว่า Hash ในการเดาสุ่มไปเรื่อย ๆ ด้วยคอมพิวเตอร์ดังกล่าว ทำให้ใช้พลังงานเป็นอย่างมาก โดยวิธีการนี้เรียกว่า Proof of Work นอกจากนี้การใช้ข้อมูลของ Block ก่อนหน้าต่อกันมาเรื่อยๆ เสมือนการร้อยสายโซ่นี้ ทำให้การโกงมีต้นทุนที่สูงมาก เพราะจะต้องกลับไปแก้ไข Hash ของ Block ในอดีตทั้งหมด กลับไปถอดรหัส Nonce ก่อนหน้าทั้งหมด รวมถึงการขุด Bitcoin ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ธรรมดาๆ ตามบ้านทั่วไปจึงไม่คุ้มค่าแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามแม้เทคโนโลยี Blockchain จะดูเป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยมากเนื่องจากการปลอมแปลงนั้นทำได้ยาก แต่ Blockchain ก็ยังมีข้อจำกัดที่ Vitalik Buterin ได้เคยกล่าวไว้ว่า Blockchain นั้นมีประเด็นของ Blockchain Trilemma ซึ่งเป็นการย้อนแย้งกันระหว่างการกระจายศูนย์ (Decentralization) ความปลอดภัย (Security) และการเพิ่มปริมาณธุรกรรม (Scalability) โดยหากกระจายศูนย์มากมีผู้เป็นพยาน (Node) ในเครือข่ายมาก มีความปลอดภัยสูง ก็จะมีปริมาณธุรกรรมได้ไม่สูงเพราะต้องใช้เวลาในการส่งข้อมูลระหว่าง Node ต่างๆ ที่ยิ่งมีมากยิ่งใช้เวลามาก เช่น Bitcoin ในปัจจุบันสามารถทำได้เพียง 10 ธุรกรรมต่อวินาที (หรือ Transaction per Second - TPS) ส่วน ethereum (ETH) อยู่ที่ 20 TPS ในขณะที่ VISA สามารถทำได้ถึง 65,000 TPS แต่หากยอมลด Node เพื่อให้มีความเร็วมากขึ้น ก็แน่นอนว่าต้องแลกมาด้วยความปลอดภัยที่ลดลง เนื่องจากมีผู้ร่วมเป็นพยานในธุรกรรมนั้นๆ น้อยลงนั่นเอง
ด้วยปัญหาที่กล่าวไปข้างต้นทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของการเพิ่มปริมาณของธุรกรรมกับหลายๆ Blockchain บนโลกนี้ บางรายก็เลือกที่จะยอมลดบางอย่างใน Trilemma ดังกล่าวเพื่อรองรับปริมาณธุรกรรมให้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความพยายามในการเพิ่มปริมาณธุรกรรมบนโลกของ Blockchain ด้วยวิธีการอื่น ๆ อีก อาทิ การเพิ่ม Layer ให้ Blockchain โดยล็อกตัวเหรียญจริงไว้ที่ Chain ขั้นต้น แล้วแปลงเหรียญที่ล็อกไว้มายังอีก chain หนึ่งเสมือนเป็นการออกเหรียญใหม่บน chain ใหม่โดยมีเหรียญ เช่น Bitcoin ที่ถูกล็อกไว้ใน Chain ขั้นต้นเป็นสินทรัพย์ค้ำมูลค่าของเหรียญใหม่แทนที่จะทำได้เพียง 10 TPS บน Chain ของ Bitcoin เดิม ก็สามารถเพิ่มจำนวน TPS ได้ด้วยเหรียญที่สร้างขึ้นมาบน Chain ใน Layer ที่ 2 ทั้งนี้เหตุผลที่ทำ TPS ได้มากขึ้นอาจเกิดจากการเพิ่มลดเงื่อนไขบางอย่างของ Chain ใน Layer ที่ 2 นั่นเอง เช่น การลดจำนวน Node ลง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีอีกความหวังจากการจะปล่อย ETH 2.0 ของ Vitalik ที่อ้างว่าสามารถเพิ่ม TPS ได้เป็น 100,000+ TPS จากการเปลี่ยนการใช้ Proof of Work เป็น Proof of Stake หรือใช้เงินเป็นตัวค้ำประกันแทนซึ่งจะทำให้สามารถทำธุรกรรมได้ทันที อีกทั้งยังลดการใช้พลังงานในการใช้คอมพิวเตอร์มาเดาสุ่มรหัสอีกด้วย รวมไปถึงการเสนอวิธีการแก้ปัญหาโดยใช้โมเดลของการสร้าง Shard ซึ่งในแต่ละ Shard ย่อยจะสามารถรองรับธุรกรรมได้ถึง 100 TPS โดยยังสามารถแยกย่อยตามความช้าความเร็วปริมาณธุรกรรมใน Shard แต่ละรูปแบบได้อีกด้วย ซึ่ง Shard Chain นี้ก็คือ Data Layer อีกชั้นคล้ายกับที่กล่าวมาข้างต้น แต่เป็นการสร้าง Layer ขึ้นอย่างเป็นทางการภายใต้ Blockchain ของ ETH เองแทนนั่นเอง อย่างไรก็ตามหากดูตามแผนที่ผู้พัฒนาได้วางไว้ จะเห็นได้ว่าการพัฒนานั้นล่าช้ามาถึง 1 ปีกว่าแล้ว โดยคาดว่าจะได้ใช้งานจริงราวปลายปี 2021 นี้
ยังไม่รวมความหวังในการ Scale จากการทำธุรกรรมนอก Chain ก่อนจะกลับมาบันทึกลงบน Chain ในภายหลัง หรือที่เรียกว่า Off-chain scaling ซึ่งกรณีเช่นนี้เป็นลักษณะของการไปทำธุรกรรมนอก Chain หลัก เช่น วิธี State Channels ของ Lightning network ซึ่งมีลักษณะเป็นการใส่เงินร่วมกันเป็นเงินกองกลาง (pool) เหมือนเปิดบัญชีร่วม ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องทางการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นมา โดยธุรกรรมที่ทำส่วนใหญ่จะเป็นการทำ Off-chain เช่น การโอนกลับไปกลับมา ชำระเงินกันไปมา โดยมีข้อจำกัดว่าจะต้องไม่เกินมูลค่าของเงินที่อยู่ใน pool นั้น แต่จะมีปริมาณธุรกรรมเท่าไหร่ก็ได้และยิ่งมี TPS ที่มากขึ้น แต่หากจะมีการถอนเงินออกจากบัญชี จึงจะมีการ Sync การทำธุรกรรมนั้นกลับไปที่ Chain หลัก รวมไปถึงวิธีการที่เรียกว่า Side Chain ซึ่งมีลักษณะเหมือนการสร้าง Layer ที่ 2 ในการทำธุรกรรมตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น แต่ปัญหาของวิธีการนี้คือความปลอดภัยในการถูกเจาะระบบเพื่อขโมยเหรียญนั้นอาจเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าการทำงานบน Chain หลักเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ยังมี Scaling แบบที่เรียกว่า Rollups ซึ่งเป็นการนำหลาย ๆ ธุรกรรมมามัดรวมกันถือเป็น 1 ธุรกรรม ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้ต้นทุนในการทำธุรกรรมถูกลงและทำได้เป็นจำนวนมากขึ้น โดยในตลาดปัจจุบันมีตัวอย่าง เช่น Optimistic rollups เป็นการทำธุรกรรมโดยมีสมมติฐานว่าคนที่ทำธุรกรรมโดยทั่วไปแล้วเป็นคนดี ไม่ใช่คนโกง แต่ก็จะนำ Rollup แต่ละธุรกรรมที่ส่งขึ้นไปบนระบบ ไปรอการตรวจสอบจากผู้ที่รู้สึกว่าธุรกรรมมัดนั้น ๆ น่าสงสัย หรือเรียกว่า Challenge ธุรกรรมนั้น หากไม่มีใคร Challenge ภายใน 7 วันก็ถือว่าธุรกรรมดังกล่าวสำเร็จเสร็จสิ้น
อีกตัวอย่างของ Rollups คือ ZK Rollups (Zero-Knowledge Rollups) เป็นการ Bundle ธุรกรรมเช่นเดียวกับ Rollups อื่น ซึ่งมีข้อดีในการทำให้ต้นทุนการทำธุรกรรมถูกลงเช่นกัน โดยจะมีพยานรับรู้การทำธุรกรรมแต่ละครั้ง โดยไม่รู้ว่าธุรกรรมนั้นคืออะไร แต่สามารถพิสูจน์กับตัวผู้ทำธุรกรรมอีกฝ่ายได้ว่าเป็นผู้ที่รู้คีย์ของธุรกรรมนั้น ๆ ผ่านกลไกบางอย่างคล้าย Passcode ของธุรกรรม ซึ่งจะทำให้สามารถพิสูจน์ได้ว่าธุรกรรมนั้นถูกต้องหรือไม่โดยไม่ต้องรู้ว่าธุรกรรมนั้นๆ คืออะไร
จะเห็นได้ว่าโลกของ Blockchain นั้นมีการพัฒนาใหม่ๆ เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องหรือ จุดอ่อนที่พบโดยไม่หยุดนิ่ง เป็นเทคโนโลยีที่เป็นความหวังสำหรับหลายๆ อุตสาหกรรม แต่หากมองจากสถานการณ์ตอนนี้อุตสาหกรรมการเงินอาจจะต้องวิ่งให้ไวกว่าอุตสาหกรรมอื่นในเทคโนโลยีนี้มากกว่าที่เคยเป็น