milkyway 6
milkyway 7
milkyway 8
Technology
07 พฤศจิกายน 2565
ภาษาไทย

Web 3.0 กับอนาคตของอินเทอร์เน็ตแบบกระจายศูนย์

หลายคนอาจเคยจินตนาการถึงการได้ใช้งานอินเทอร์เน็ตรูปใหม่ๆ ที่สามารถทำตามที่เราสั่งการหรือป้อนข้อมูลเข้าไปได้อย่างแม่นยำขึ้น และเข้าใจสิ่งที่เราสื่อสารได้อย่างแท้จริง ทั้งผ่านทางข้อความหรือเสียง โดยที่เนื้อหาทั้งหมดได้ถูกปรับแต่งให้เหมาะกับเรามากกว่าที่เคยเป็น และในตอนนี้เรากำลังจะได้พบกับจุดเปลี่ยนของวิวัฒนาการของเว็บหรืออินเทอร์เน็ต ‘Web 3.0’ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงของการเริ่มต้น และคาดกันว่าหากอยู่ในจุดที่ถูกพัฒนาจนสมบูรณ์แบบก็อาจตอบโจทย์การใช้งานได้ในแบบที่เราได้จินตนาการหรือมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้


W3Article62_1200X800.jpg

Web 3.0 คืออะไร 


นอกเหนือจากอนาคตของอินเทอร์เน็ตที่ถูกปรับให้เหมาะสมหรือตรงความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น ก็ยังมีระบบกระจายศูนย์หรือ “Decentralized” ที่เป็นอีกจุดสำคัญที่ Web 3.0 ได้เริ่มสร้างขึ้นในทุกวันนี้ โดย Web 3.0 เป็นการรวมกันของเทคโนโลยีต่างๆ เช่น Blockchain, เครือข่าย Peer-To-Peer, เทคโนโลยี Semantic Web, Virtual Reality หรือเทคโนโลยี 3 มิติเบื้องต้น และบริการต่างอื่นๆ เพื่อเข้าถึงการใช้งาน ซึ่งต้องยอมรับว่าส่วนประกอบเหล่านี้ย่อมให้ประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่างจากเดิมไปโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งนี้เหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องของการกระจายศูนย์และความปลอดภัยที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน 


Web 3.0 เป็นยุคที่สามของอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่างๆ สามารถประมวลผลข้อมูลในลักษณะที่มีความชาญฉลาดคล้ายมนุษย์ผ่านเทคโนโลยี เช่น Decentralized ledger technology (DLT) และ Machine Learning (ML) หรือ Big Data เป็นต้น 


เดิมที Web 3.0 ถูกเรียกว่า “Semantic Web” โดย Tim Berners-Lee ซึ่งเป็นคนต้นติด World Wide Web จากความตั้งใจสร้างให้เป็นอินเทอร์เน็ตที่เป็นอิสระ ชาญฉลาด และเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น  


ใน Web 3.0 ข้อมูลจะมีการเชื่อมต่อกันในลักษณะของการกระจายศูนย์ (Decentralized) ซึ่งนับว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญจากอินเทอร์รุ่นปัจจุบันหรือ Web 2.0 ที่ข้อมูลส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้แบบรวมศูนย์หรือที่ส่วนกลาง 


นอกจากนี้ โปรแกรมต่างๆ ใน Web 3.0 จำเป็นต้องเข้าใจทั้งส่วนบริบทและแนวคิดของข้อมูลข่าวสารเพื่อที่จะให้ผู้ใช้และเครื่องจักรสามารถโต้ตอบกับข้อมูลนั้นๆ ได้ และจากสิ่งเหล่านี้เองเว็บเชิงความหาย (Semantic Web) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) จึงเป็นรากฐานสำคัญของ Web 3.0



Web 3.0 เริ่มต้นจากอะไร?


Web 3.0 ถือกำเนิดขึ้นจากวิวัฒนาการตามธรรมชาติของเครื่องมือเว็บรุ่นเก่า (Web 1.0 และ 2.0) ผสมผสานกับเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น AI และ Blockchain รวมถึงการติดต่อซึ่งกันและกันระหว่างผู้ใช้ และการใช้อินเทอร์เน็ตของผู้คนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ผลักดันให้เกิดอินเทอร์เน็ตแห่งอนาคตนี้ขึ้น



Web 3.0 กับ Cryptocurrency และ Blockchain


เนื่องจากเครือข่าย Web 3.0 มักจะทำงานผ่านโปรโตคอลแบบกระจายศูนย์ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี Blockchain และ Cryptocurrency ซึ่งมีการคาดหวังว่าจะเห็นการรวมตัวกันอย่างแข็งแกร่งและการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างเทคโนโลยีเหล่านี้ร่วมไปกับส่วนอื่นๆ โดยจะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นผสานกับการทำงานแบบอัตโนมัติผ่าน Smart Contract ที่ใช้เพื่อขับเคลื่อนการทำงานต่างๆ อย่างเช่น การทำธุรกรรมขนาดเล็ก การจัดเก็บไฟล์ข้อมูลแบบ P2P ไปจนถึงการใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่นๆ 


นอกจากนี้ โปรโตคอลบน Web 3.0 ที่ทำงานบน Blockchain และเกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency เหล่านี้จะมี Tokenให้เป็นผลตอบแทนซึ่งเป็นสิ่งดึงดูดใจสำหรับผู้ใช้ทุกคนที่มาช่วยสร้าง ควบคุม หรือมีส่วนสนับสนุนและปรับปรุงโปรเจกต์ใดโปรเจกต์หนึ่ง โดยที่ Token ของ Web 3.0 เหล่านี้นี้เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของ Decentralized โดยโปรโตคอลเหล่านี้อาจมีการให้บริการต่างๆ หลายรูปแบบ เช่น การคำนวณ การจัดเก็บ การระบุตัวตน หรือบริการออนไลน์อื่นๆ ที่มีการให้บริการมาก่อนโดยผู้ให้บริการ Cloud



ข้อดีและข้อสังเกตของ Web 3.0 


Web 3.0 มีศักยภาพที่จะเพิ่มประโยชน์ใช้สอยแก่ผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจาก Social Media, Streaming และการช้อปปิ้งแบบออนไลน์ซึ่งเป็นการใช้งานส่วนใหญ่ที่พบบน Web 2.0 


ความสามารถที่โดดเด่นและเป็นแกนหลักของ Web 3.0 เช่น Semantic Web, AI และ Machine Learning มีศักยภาพที่จะเพิ่มการใช้งานด้านใหม่ๆ อย่างมากและยังมีการปรับปรุงด้านมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ดียิ่งขึ้น


นอกจากนี้ คุณสมบัติหลักของ Web 3.0 เช่น Decentralization หรือการกระจายศูนย์ และระบบ Permissionless ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งอาจช่วยจำกัดการถูกดึงข้อมูลโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมหรือค่าตอบแทนใดๆ และอาจช่วยควบคุมเครือข่ายที่เอื้อต่อการให้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเข้ามาผูกขาดผ่านการโฆษณาและทำการตลาดได้


อย่างไรก็ตาม การกระจายศูนย์หรือ Decentralization อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงด้านกฎหมายและข้อบังคับอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต วาจาสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) และข้อมูลผิดๆ ที่ยากต่อการเอาผิด เพราะโครงสร้างแบบกระจายศูนย์ขาดการควบคุมจากส่วนกลาง โดยเว็บที่ใช้ระบบกระจายศูนย์ทำให้ระเบียบและข้อบังคับเป็นเรื่องยาก ตัวอย่างเช่น การนำกฎหมายภายในประเทศมาใช้กับเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งที่มีต้นทางหรือเจ้าของเนื้อหากระจายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งทำให้ควบคุมได้ยาก

Use and Management of Cookies

We use cookies and other similar technologies on our website to enhance your browsing experience. For more information, please visit our Cookies Notice.

Accept