สรุปภาพรวมการเติบโตและโอกาสของสตาร์ทอัพไทย ปี 2024

ประเทศไทยติดอันดับ 3 เมือง ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต ใน 1,000 อันดับแรกของโลกในระบบนิเวศสตาร์ทอัพ (Global Startup Ecosystems) โดยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่โดดเด่นที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ นักวิจัยจาก StartupBlink ระบุว่าระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางสตาร์ทอัพที่น่าสนใจในอนาคต อย่างไรก็ตาม ระบบนิเวศในปัจจุบันยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นและต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืน
ภาพรวมระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทย
ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้พัฒนาเศรษฐกิจผ่านการปฏิรูปและนวัตกรรมทางสังคม แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับการยอมรับในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก แต่ผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ได้กระตุ้นภาครัฐหันมาส่งเสริมระบบนิเวศสตาร์ทอัพเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคต แม้จะยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย แต่ความพยายามเหล่านี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของระบบนิเวศในประเทศ
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังดึงดูดกลุ่ม “Digital Nomads” หรืออาชีพที่สามารถทำงานได้จากทุกที่ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งได้รับความนิยมในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ด้วยนโยบายใหม่ที่สร้างสรรค์ ภาครัฐสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้และความสามารถของกลุ่มนี้ โดยตั้งเป้าสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการท้องถิ่นและต่างชาติ เพื่อพัฒนาโครงการที่เชื่อมโยงและใช้ประโยชน์จากแรงงานไทย
ความก้าวหน้าในการสร้างยูนิคอร์นในประเทศ
ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี พร้อมค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจที่ไม่สูงนัก ซึ่งเป็นปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพ นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นยูนิคอร์น ซึ่งล้วนมีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่น
- Line Man Wongnai
- Flash Express
- Ascend Money
ความสำเร็จของยูนิคอร์นเหล่านี้ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสตาร์ทอัพไทยในตลาดโลก แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ พร้อมทั้งดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้าสู่ตลาดไทย เสริมสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพของประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ
รัฐบาลไทยส่งเสริมผ่านนโยบายต่างๆ เช่น
- ประกาศใช้มาตรการทางภาษี: เช่น รัฐบาลประกาศยกเว้นภาษีกำไรจากการลงทุนในสตาร์ทอัพเป็นเวลา 10 ปี เพื่อจูงใจนักลงทุนในภาคเทคโนโลยี
- โครงการ Visa ที่ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติสามารถเข้ามาทำงานในไทยได้อย่างสะดวก:
- Smart Visa ช่วยดึงดูดผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้เข้ามามีส่วนร่วมในระบบนิเวศของไทย โดยลดขั้นตอนในการทำเอกสารที่ยุ่งยาก
- Long-term Resident Visa ที่มอบสิทธิประโยชน์ครอบคลุม ทั้งด้านภาษี และด้านอื่นๆ เพื่อดึงดูดคนต่างชาติที่มีศักยภาพสูงในการเข้ามาลงทุน และอยู่พำนักในประเทศระยะยาว
- Elite Visa สำหรับการท่องเที่ยวระยะยาว
- โครงการพัฒนาสาธารณูปโภค:
- โครงการสนามบินอู่ตะเภา
- รถไฟฟ้าความเร็วสูง
- รถไฟฟ้าสายสีม่วง
โครงการเหล่านี้สนับสนุนวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
การลงทุนจาก CVC และ VC ระดับภูมิภาค
สตาร์ทอัพไทยได้รับการสนับสนุนจาก Corporate Venture Capitals (CVCs) ในประเทศ และกำลังดึงดูดเงินทุนเพิ่มขึ้นจาก Venture Capitals (VCs) ระดับภูมิภาค จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงทรัพยากรและเครือข่ายที่หลากหลายมากขึ้น
ในปัจจุบัน สตาร์ทอัพไทยได้รับการสนับสนุนจาก Corporate Venture Capitals (CVCs) ในประเทศ เช่น
- SCB 10X
- Beacon Venture Capital
- AddVentures by SCG
- Invent
- True Incube
- Singha Ventures
นอกจากนี้ ยังมีการดึงดูดการลงทุนจาก Regional Venture Capitals (VCs) ที่มีชื่อเสียง อาทิ
- Golden Gate Ventures
- Openspace Ventures
- Quona Capital
- Vertex Ventures
การลงทุนเหล่านี้ช่วยเพิ่มทรัพยากรและเครือข่ายระดับสากลให้กับสตาร์ทอัพไทย ช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาดโลก
ภาพรวมตลาดการลงทุนและดีลธุรกิจระดับโลกในปี 2024
ในปี 2024 ตลาดการลงทุนในระดับโลกแสดงให้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเปรียบเทียบการเติบโตของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่สำคัญ เช่น FTSE 100, S&P 500, Nikkei 225 และ Nasdaq ซึ่ง Nasdaq มีการเติบโตสูงสุดที่ 45.3% ในขณะที่ S&P 500 และ Nikkei 225 เติบโตที่ 41.6% และ 26.9% ตามลำดับ
- การเติบโตของดีลธุรกิจ: ในช่วงมกราคมถึงกันยายน 2024 การเติบโตของดีลในธุรกิจขนาดเล็ก (Small), ขนาดกลาง (Mid) และขนาดใหญ่ (Large) อยู่ที่ 9.7%, 9.6%, และ 8.7% ตามลำดับ
- มูลค่าเฉลี่ยของดีล: ขนาดเฉลี่ยของดีลมีแนวโน้มลดลงในช่วงปี 2021-2023 แต่ฟื้นตัวขึ้นในปี 2024 โดยมูลค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 9 ล้านดอลลาร์
- จำนวนดีลและการระดมทุน: ในปี 2024 มีดีลทั้งหมด 266 ดีล เทียบกับ 262 ดีลในปี 2023 โดยมีการระดมทุนรวมที่สอดคล้องกับการเติบโตของตลาด
จากการวิเคราะห์ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงการฟื้นตัวและการเติบโตอย่างมั่นคงของระบบเศรษฐกิจและตลาดการลงทุนในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและความสามารถในการปรับตัวของภาคธุรกิจในระดับโลก
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในตลาดทุน
- ตลาดทุนสาธารณะทั่วโลกยังคงเติบโตต่อเนื่องจากข้อมูลในข้างต้น โดยเฉพาะในปี 2024 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของ Fed ตั้งแต่ปี 2020 และการฟื้นตัวของการเติบโตของกำไรที่หลากหลายหลังจากช่วงซบเซาในยุคหลังการแพร่ระบาด อย่างไรก็ตาม การเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเริ่มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 3 ปี 2024 หุ้นเทคโนโลยีให้ผลตอบแทน 2.35% แต่ยังคงเพิ่มขึ้น 51% ในปีนี้
- ในขณะเดียวกัน การระดมทุนผ่าน Venture Capital ยังคงลดลงเนื่องจากขาดการออกจากตลาด (Exits) และการลดการลงทุนในระยะท้าย แม้จะมีข้อจำกัดเหล่านี้ แต่ความตื่นตัวใน Generative AI ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยคิดเป็นหนึ่งในสามของเงินทุน VC ทั้งหมดที่มุ่งสู่สตาร์ทอัพ AI
- ในช่วงปี 2024 การออกจากตลาด เช่น การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นหรือการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับช่วงก่อนปี 2021 โดยในปี 2024 มีการบันทึก IPO ที่โดดเด่นเพียงไม่กี่แห่ง เช่น Reddit, Astera Labs, และ Tempus AI รวมถึง IPO ทั้งหมด 230 รายการ (ลดลง 28% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว) และการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) มีการทำดีลทั้งหมด 6,252 รายการ ลดลงเล็กน้อยเพียง 0.4% อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม IPO ในปี 2025 ดูสดใสขึ้น โดยมีชื่อเด่นอย่าง Klarna, Revolut, และ Databricks ที่กำลังเตรียมเข้าตลาดหุ้น
- เมื่อมูลค่าของบริษัทในตลาดทุนสาธารณะ (ตลาดหุ้น) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้มูลค่าของบริษัทเอกชนปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นที่สนใจอย่าง AI ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าที่สูงอยู่แล้วจากความต้องการของตลาดและการลงทุนจำนวนมาก
การเติบโตของทุนสนับสนุนและจำนวนดีลในประเทศไทย
การระดมทุนในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2018-2023 โดยมีปี 2022 เป็นจุดสูงสุดที่มูลค่าการระดมทุนเกือบ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจำนวนดีลในประเทศไทยสะท้อนถึงการเติบโตของ Startup Ecosystem ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม E-commerce และ Fintech ที่มีบทบาทสำคัญ
บทบาทของ CVC และ VC:
- การลงทุนในประเทศไทยยังได้รับแรงสนับสนุนจาก CVC (Corporate Venture Capital) ภายในประเทศ เช่น ธนาคารและบริษัทใหญ่ที่ลงทุนใน Startup เพื่อเร่งการเติบโตในอุตสาหกรรมของตน
- นักลงทุน VC ระดับภูมิภาคก็เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ ส่งผลให้ Startup ไทยสามารถดึงดูดเงินทุนในระดับที่สูงขึ้น
ดีลที่สำคัญในปี 2024:
- ในปี 2024 มีบริษัทที่สามารถดึงดูดการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น Ascend Money, Amity, Freshket, HD, และ Cryptomind ซึ่งสะท้อนถึงความน่าสนใจในหลากหลายอุตสาหกรรม
แนวโน้มตลาดทุนของไทย:
- การระดมทุนในอุตสาหกรรม Fintech และ E-commerce ยังคงเป็นจุดเด่น โดยเฉพาะบริษัทที่มีศักยภาพสูง เช่น Opn และ Pomelo ที่สามารถดึงดูดการลงทุนจำนวนมาก
สรุป
ระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีด้วยความร่วมมือจากนักลงทุน ภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการ หากยังคงรักษาความก้าวหน้าและสนับสนุนการเติบโตเชิงนวัตกรรม ประเทศไทยก็มีโอกาสที่จะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางเทคโนโลยีของภูมิภาคในอนาคต
—--------------------------------------------------------
Source:
https://www.startupblink.com/startup-ecosystem/thailand?page=1
https://www.bangkokpost.com/business/general/2889297/researcher-offers-pointers-on-shaping-a-startup-nation
https://www.morningstar.com/markets/13-charts-stocks-bonds-q3-roller-coaster-rallies https://foundershield.com/blog/tech-ipos-2024/?utm_source https://www.cmri.or.th/uploads/images/1680512022CapSnap-7_3_Apr_2023.pdf?utm_source