DeFi และ Stablecoin ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ สู่บทบาทสำคัญของระบบการเงินยุคใหม่

Key Takeaways
- DeFi กลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง เมื่อผู้ใช้งานแห่ใช้บริการทางการเงินแบบไร้ตัวกลาง ที่มีต้นทุนต่ำและเข้าถึงได้ทั่วโลก
- Stablecoin กลายเป็นกลไกการชำระเงินที่กำลังเติบโต ด้วยปริมาณธุรกรรมที่แตะ 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 12 เดือน
- การเติบโตของจำนวน Wallet ที่ใช้งาน Stablecoin เพิ่มขึ้นกว่า 53% ภายในปีเดียว สะท้อนการยอมรับที่เพิ่มขึ้นในระบบการเงินดิจิทัล
- ผู้เล่นรายใหญ่กำลังเข้าสู่ตลาดอย่างจริงจัง เร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งานที่ยั่งยืน
การกลับมาของ DeFi เมื่อผู้ใช้ต้องการควบคุมการเงินด้วยตัวเอง
TechTarget คาดการณ์ว่า DeFi กำลังจะกลับมาเป็นเทรนด์สำคัญของ Web3 ในปี 2025 โดยแม้ว่าการเติบโตของ Web 3.0 โดยรวมจะช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่พัฒนาการของ Blockchain และแนวโน้มกฎหมายที่สนับสนุน Crypto ในสหรัฐฯ ถือเป็นสัญญาณบวก
- DeFi (Decentralized Finance) หรือระบบการเงินแบบไร้ตัวกลาง กำลังได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังจากผ่านพ้นช่วงตลาดซบเซา ผู้ใช้งานเริ่มหันกลับมาใช้แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนกระจายอำนาจ (DEX) และโปรโตคอลการกู้ยืมที่ไม่ต้องพึ่งพาธนาคารหรือบุคคลกลาง
- ตลาด DeFi ทั่วโลกมีมูลค่า 71.00 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดการณ์ว่าจะเติบโตจาก 86.53 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เป็น 457.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2032 (ข้อมูลจาก Fortune Business Insights) ซึ่งตัวเลขการเติบโตที่คาดนี้แสดงถึงอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่น่าจับตามองถึง 26.9% ในช่วงเวลาดังกล่าว
- DeFi มีจุดเด่นที่ความโปร่งใส เข้าถึงได้แบบไร้พรมแดน และต้นทุนการใช้งานที่ต่ำกว่าระบบเดิมอย่างชัดเจน เทคโนโลยีใหม่ เช่น Layer 2, Cross-chain Interoperability และการนำสินทรัพย์โลกจริง (RWA) มาอยู่บน Blockchain กำลังช่วยให้ DeFi เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจริงได้มากยิ่งขึ้น
- TechTarget มองว่าองค์กรจำนวนมากกำลังพิจารณา DeFi เพื่อปรับปรุงระบบการเงินให้เปิดกว้างและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ DeFi กลายเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามองในปี 2025 นี้
Stablecoins: จากเครื่องมือการเทรด สู่กลไกชำระเงินจริง
- Stablecoins เหรียญดิจิทัลซึ่งถูกออกแบบให้มูลค่าคงที่ เช่น ตรึงกับดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนบทบาทจาก สินทรัพย์เพื่อซื้อขายในตลาด Crypto ไปสู่สื่อการใช้งานจริงทั้งในระดับบุคคลและองค์กร ในการชำระเงิน โอนเงิน และการรับ-จ่ายข้ามพรมแดน ด้วยต้นทุนต่ำ ความเร็วสูง และใช้งานได้ตลอดเวลา
- ข้อมูลจาก Visa Onchain Analytics และ Payments CMI ระบุว่า
ในช่วง 12 เดือนถึงกุมภาพันธ์ 2025 มูลค่าการชำระเงินผ่าน Stablecoin ทั่วโลกสูงถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน 15% ของการชำระเงินข้ามพรมแดนภาคค้าปลีกในปี 2024 - ไม่เพียงแค่ปริมาณธุรกรรม Defi-Planet ยังเผยว่า จำนวน Wallet ที่ใช้งาน Stablecoin เพิ่มขึ้นจาก 19.6 ล้านเป็น 30 ล้านรายภายใน 12 เดือน เพิ่มขึ้นกว่า 53% ซึ่งแสดงถึงการใช้งานจริงที่กว้างขวางมากขึ้น
นอกจากนี้ Axios ยังชี้ว่าเรากำลังอยู่ในศึกชิงบัลลังก์ Stablecoin ที่มีมูลค่ากว่าล้านล้านดอลลาร์ ระหว่างผู้เล่นรายใหญ่ เช่น Tether (USDT), Circle (USDC) ไปจนถึง PayPal ที่เปิดตัว PYUSD เพื่อเข้าสู่สนามนี้อย่างจริงจัง
เมื่อองค์กรยักษ์ใหญ่เริ่มลงสนาม Stablecoin
- บริษัทเทคโนโลยีการเงินยักษ์ใหญ่ เช่น PayPal, Visa, Mastercard, Circle และ JP Morgan กำลังพัฒนานวัตกรรมที่เชื่อมโยงกับ Stablecoin อย่างจริงจัง เพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านระบบชำระเงินสู่ยุคกระจายศูนย์
- ตัวอย่างเช่น Visa พัฒนา API สำหรับรับส่ง Stablecoin ข้าม Blockchain และ Circle กำลังผลักดัน USDC ให้เข้าถึงผู้ใช้งานภาคธุรกิจในวงกว้าง
การเข้ามาของผู้เล่นเหล่านี้บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของ Stablecoin ไม่ใช่แค่ในฐานะสินทรัพย์เก็งกำไร แต่ในฐานะเครื่องมือที่สร้างโครงสร้างการเงินใหม่
แนวโน้มข้างหน้า: จากนวัตกรรมสู่โครงสร้างพื้นฐาน
หาก DeFi และ Stablecoin เติบโตต่อเนื่อง จะไม่ได้เป็นแค่นวัตกรรม แต่จะกลายเป็น 'โครงสร้างพื้นฐาน' การเงินใหม่ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลอนาคต
- ด้วย DeFi ที่เริ่มถูกยอมรับมากขึ้นในฐานะแกนหลักของระบบการเงินแบบเปิด ด้วยจุดเด่นคือการทำธุรกรรมโดยไม่พึ่งพาตัวกลาง (Trustless), การโปรแกรมได้ (Programmability) และความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้
- Stablecoin ก็ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นแค่ “เหรียญที่มูลค่าคงที่” อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นหัวใจของการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในระยะยาวขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- ความชัดเจนด้านกฎระเบียบ โดยมีกฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างปลอดภัยและไม่ขัดขวางนวัตกรรม
- ความสามารถในการเชื่อมต่อกับระบบการเงินดั้งเดิม เช่น การเข้าถึงบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิตอย่างไร้รอยต่อ
- ความน่าเชื่อถือของผู้ออกเหรียญ โดยเฉพาะในแง่ของการค้ำประกันและโปร่งใสของสินทรัพย์ที่หนุนหลัง
- ความร่วมมือจากสถาบันการเงินกระแสหลัก เช่น การเข้ามาร่วมพัฒนา ร่วมออกเหรียญ หรือใช้โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ในบริการของตน
หากทุกภาคส่วนสามารถพัฒนาไปพร้อมกันได้อย่างสมดุล อนาคตของการเงินดิจิทัลที่ใช้ข้อได้เปรียบของ DeFi และ Stablecoin ก็อาจอยู่ไม่ไกล
โอกาสในระบบการเงินดิจิทัลยุคใหม่
การฟื้นตัวของ DeFi และการใช้งาน Stablecoin ที่เพิ่มขึ้น กำลังสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้นักลงทุน
- ข้อมูลจาก TechTarget ระบุว่า DeFi ได้รับความสนใจมากขึ้นในฐานะ “Backbone” ของระบบการเงินแบบเปิด ด้วยฟีเจอร์ที่ไม่มีตัวกลางและสามารถโปรแกรมได้ ทำให้โทเคนของแพลตฟอร์มอย่าง Aave, Compound, Uniswap กลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนอีกครั้ง
- ในขณะเดียวกัน รายงานจาก Payments CMI ชี้ว่าโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับ Stablecoins เช่น โซลูชันการแปลงสกุลเงิน การเชื่อมต่อกับระบบธนาคาร, และผู้ให้บริการอย่าง Visa กำลังกลายเป็นเป้าหมายของการลงทุนจากภาคธุรกิจและธนาคาร
- นอกจากนี้ Defi-Planet ยังระบุว่าการเติบโตที่เพิ่มขึ้นของ Wallet ที่ใช้งาน Stablecoins จริง เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าโครงสร้างนี้เริ่มมีการใช้งานที่ยั่งยืนในระบบการเงินโลก ทำให้ผู้ลงทุนบางส่วนมอง Stablecoin infrastructure เป็นอีกหมวดสินทรัพย์ทางเลือกที่มีศักยภาพในอนาคต
ถึงแม้จะมีโอกาสมาก แต่การลงทุนใน DeFi และ Stablecoins ยังมาพร้อมกับความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและเทคโนโลยี ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามความคืบหน้าของทั้งภาครัฐและผู้ให้บริการอย่างใกล้ชิด
สรุป
ปี 2025 กำลังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบการเงินดิจิทัล DeFi และ Stablecoin ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการเข้าถึง วิธีบริหาร และส่งต่อมูลค่าทางการเงินโดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางอีกต่อไป รวมถึงการเติบโตของผู้ใช้งาน ปริมาณธุรกรรมที่น่าทึ่ง และการเข้าร่วมขององค์กรระดับโลก กำลังบ่งชี้ว่าระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ไม่ได้เป็นเพียงแค่นวัตกรรม แต่กำลังก้าวเป็นโครงสร้างฐานทางการเงินที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างมั่นคง
----------------------------
Sources: