Blockchain และอนาคตของโลกการเงิน
อนาคตของโลกการเงินกำลังมีปัจจัยหนึ่งที่เข้ามาขับเคลื่อนและกำลังจะเปลี่ยนโฉมไปโดยสิ้นเชิง ปัจจัยที่ว่านั้นก็คือการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ ซึ่งในโอกาสนี้ SCB 10X จึงจัดงานเสวนา REDeFiNE TOMORROW รวบรวมองค์ความรู้ด้าน Global DeFi และ Blockchain จาก Speaker ผู้เชี่ยวชาญชื่อดังมาพูดคุยอย่างเข้มข้นและเจาะลึกผ่านรูปแบบ Virtual Summit
ในหัวข้อเสวนาที่เราจะมาสรุปการพูดคุยกันในวันนี้ได้รับเกียรติจากคุณ Olaf Carlson-Wee, Founder and CIO จาก Polychain Capital หนึ่งในผู้คร่ำหวอดแห่งวงการคริปโตและ Blockchain ระดับโลก พร้อมกับ Pailin Vichakul, Principal จาก SCB 10X มาเป็นผู้ดำเนินการสัมภาษณ์
จากคนคลั่งไคล้ในคริปโตจนถึงขั้นเขียนวิทยานิพนธ์เรื่อง Bitcoin สู่ผู้ก่อตั้ง Investment Firm รูปแบบใหม่
ในปี 2011 เป็นครั้งแรกของ Olaf ที่ได้รู้จักกับ Bitcoin และทำให้เขาหลงใหลในหลักการของคริปโต จนถึงขั้นทำโปรเจกต์จบในหัวข้อ Bitcoin ต่อมาเขาได้เข้าไปเป็นพนักงานคนแรกของ Coinbase ในตอนนั้น Coinbase เป็นเพียงแค่บริษัทหน้าใหม่เท่านั้น หลังจากใช้เวลาที่นั่นกว่า 3 ปีครึ่ง เขาก็ตัดสินใจออกมาเปิด Polychain บริษัทด้าน Investment Firm โดยมุ่งไปที่การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เขาคิดว่าแทนที่จะลงทุนในสตาร์ทอัพเอกชนหรือลงทุนตามแบบ Venture ทั่วไป การมาลองลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลโดยจำเพาะเจาะจงเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับเขามากกว่า ดังนั้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าร่วมแบบ Peer-to-peer โดยที่เขาเป็นเสมือนผู้ขับเคลื่อนการลงทุนโดยตรง
มองเห็นเทรนด์อะไรที่น่าสนใจใน Blockchain โดยเฉพาะเรื่องของ DeFi
ตอนนี้เรากำลังเห็นการเติบโตของการสร้าง Blockchain ในหลายปีที่ผ่านมา เห็นถึงการเกิดขึ้นของ Stable Coin และสินทรัพย์ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้น
DeFi กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในเบื้องหลังคือการพัฒนาที่ทำมาหลายปี สำหรับในปี 2020 คือช่วงเวลาที่ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นของการพัฒนาได้ปรากฎออกมาพร้อมกัน จนเห็นเป็นภาพใหญ่ที่รวมมาจากหลากหลายส่วนย่อยของอุตสาหกรรมคริปโต
เหตุผลที่ทำให้ DeFi น่าสนใจ คือการช่วยให้คน 2 กลุ่มที่ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออยู่ที่ใดก็ตาม สามารถเข้าสู่การทำข้อตกลงทางธุรกิจที่ซับซ้อนได้ การเติบโตของ DeFi นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ในแง่การเงิน การทำ Liquidity mining โดยที่คนเข้าร่วมตั้งแต่แรกเริ่มสามารถเป็นเจ้าของระบบได้นับเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ด้วย Blockchain ในส่วนความเห็นของ Olaf ต่อไอเดียที่ใช้การตอบแทน (Rewarding) แก่ผู้เข้าร่วมใหม่ด้วยการแบ่งสัดส่วนการเป็นเจ้าของในระบบนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
อะไรคือข้อจำกัดที่ขวางกั้นการเติบโตของ DeFi
ในความเห็นของคุณ Olaf คิดว่ามี 2 ปัจจัยหลักที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึง DeFi จากกลุ่มกระแสหลัก (Mainstream Users) อย่างแรกคือ เป็นเรื่องที่ยากสำหรับผู้ใช้งาน สิ่งที่จำเป็นคือต้องตัดสิ่งที่ซับซ้อนออกเพื่อประสิทธิภาพและความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน ไม่ต้องให้ผู้ใช้ต้องมาสนใจเรื่อง Cryptographic keys, Gas fee หรือ Transactional fees ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด Third-party software เพื่อที่จะโต้ตอบกับระบบ ในมุมมองของเขาสินค้าที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ต้องตัดความซับซ้อนออกแล้วแสดงให้ผู้ใช้งานเห็นประโยชน์ได้ง่ายและชัดเจน
เรื่องที่สองที่คุณ Olaf พูดถึง คือเรื่องการรองรับการทำธุรกรรม (Scalability) ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพึ่งการวิจัยและทดลองของระบบ อาทิ เราจะทำอย่างไรให้นักพัฒนาสร้างคุณลักษณ์ใน Smart contract ให้รวดเร็วและสะดวกกว่าเดิม จะปรับมูลค่าการประมวลธุรกรรมให้สูงขึ้นด้วยปัจจัยอะไรที่ดีพอ ณ ตอนนี้มีการพยายามในการรองรับการทำธุรกรรมในหลากรูปแบบมากขึ้น และกำลังจะยิ่งมากขึ้นไปอีก เขาคิดว่าเราจะเห็นการใช้ DeFi สู่ Blockchain ที่เจาะจงกว่าเดิม และจะเป็นยุคที่คนแข่งกันพัฒนารูปแบบสำหรับการ Scalability ในอนาคต
อนาคตของ DeFi จะเป็นไปในรูปแบบใด และ CeFi จะต้องปรับตัวไปเป็น DeFi หรือไม่
รูปแบบของ DeFi ทำให้เราไม่สามารถครองมันด้วยตนเองได้ เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนจากธุรกิจที่เน้นผลกำไรมายังรูปแบบกระจายอำนาจนับเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่ามากเมื่อเทียบกับกลยุทธ์ทางธุรกิจในรูปแบบอื่น ๆ
Olaf คิดว่าในอนาคตเราจะเห็นธุรกิจเปลี่ยนจากการใช้ปากกากับเอกสารทางธุรกรรมมายังองค์กรที่ใช้รูปแบบการกระจายอำนาจ (DAO) เราจะพบว่าธุรกิจที่แสวงหากำไร อย่างเช่น Fintech จะย้ายไปสู่รูปแบบ On Chain System เหมือนกับที่เราเห็นใน Compound Finance แต่สำหรับ CeFi แล้วอาจเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับการเงินในรูปแบบดั้งเดิม
Blockchain ส่งผลอย่างไรกับ Decentralised Autonomous Organisation (DAO) และอะไรคือจุดที่แตกต่างกับองค์กรในรูปแบบดั้งเดิม
DAO หรือองค์กรที่ใช้ระบบการกระจายอำนาจ เป็นที่ถูกพูดถึงกันอย่างมาก และจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าขาด Blockchain การที่ DAO ประกอบกับ Blockchain สามารถที่จะมาทดแทนปากกา กระดาษ หรือเอกสารทางกฎหมายที่ส่งผลต่อพันธะขององค์กร การที่จะสามารถรวมคนจำนวนมากเพื่อทำการตัดสินใจแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยจนกระทั่งมี Blockchain ที่มาขับเคลื่อนโดยการใช้ Chain system โครงสร้างของ DAO คล้ายกับการร่วมลงเงินในรูปแบบ Fund ปกติ ที่ระดมทุนแล้วนำไปลงทุนต่อ แต่ด้วยการเข้ามาของ DeFi ทำให้ DAO สามารถใช้ในการจัดการกับตัวกองทุนผ่าน Smart Contract บน Blockchain ได้
Olaf คิดว่านี่คือยุคทองของ DAO ยิ่งมีห่วงโซ่ทางธุรกิจและคุณค่าอีกหลายๆ อย่าง ที่สามารถจัดการได้ผ่าน DAO ทำให้ยิ่งเติบโตขึ้นไปอีก รวมไปถึงการมีสินทรัพย์ที่แสดงความเป็นเจ้าของในรูปแบบของ Token ซึ่งสามารถแสดงมูลค่าในรูปแบบสินทรัพย์ชั้นรองได้ (Second major asset class) ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมาก
อะไรคือข้อจำกัดของ DAO
ปัจจัยหนึ่งที่เป็นข้อจำกัดในความเห็นของ Olaf คือการบังคับใช้สัญญาทางกฎหมาย DAO จะสามารถทำธุรกรรมกับ DAO ได้อย่างดีผ่านการแลกเปลี่ยนแบบไร้ตัวกลาง แต่หากเป็นเรื่องที่ต้องพึ่งสัญญาทางกฎหมาย เช่น การปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรู้ว่าใครเป็นคนเซ็น ซึ่งมีกฎหมายแค่บางที่ที่ยอมรับการลงสัญญาผ่านคริปโต จึงเป็นหนึ่งในข้อจำกัดของ DAO
Blockchain มีอิทธิพลต่อการปฏิวัติอินเทอร์เน็ตใหม่ หรือ Web 3.0 อย่างไร
Olaf ให้ความเห็นว่ารูปแบบของ Web 3.0 จะเป็นการโต้ตอบของแอปพลิเคชันที่รวดเร็วกว่าเดิมมาก ซึ่งจริงๆ ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของ Blockchain มากเท่าใดนัก
DeFi เปรียบเสมือนการคำนวณทางคณิตศาสตร์บนระบบหนึ่ง เช่น บน Ethereum แต่ในปัจจุบัน เรายังไม่มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับการ Scaling รวมถึงคนใช้ที่เหมาะสมเองก็เช่นกัน โดยต้องการคนจำนวนมหาศาลเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดนั้น และได้หวังว่า DAO จะสามารถหา Product market fit สำหรับ DeFi ได้
DAO จะไม่ใช่แค่บริการทางการเงิน แต่สร้างผลตอบแทนจากการทำงานได้ การพัฒนาของ Scalability technology จะทำให้ Smart contract สามารถโต้ตอบกับรูปภาพ ข้อความและเสียง แต่ยังต้องใช้ข้อมูลอีกจำนวนมาก
นอกจากนี้ Olaf คิดว่า Scalability technology ต้องมาก่อน เพื่อที่จะเกิดการรองรับ ต้องก้าวข้าม Liquidity Mining ในการใช้งานพื้นฐาน แต่เป็นไปในรูปแบบของการ Mining เพื่อ Social media ที่คนเข้าร่วมในระบบจะได้รางวัลตอบแทน โดยสิ่งนี้เป็นตัวอย่างที่สามารถเป็นไปได้ด้วย Blockchain และเขาคิดว่า DAO จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเกิดขึ้นของเทคโนโลยี Web 3.0